Onyx คือการสะท้อนให้เห็นถึงทิศทางและสไตล์การออกแบบรถยนต์ของเปอโยต์ที่สามารถตอบโจทย์ในด้านความเร้าใจในด้านภาพลักษณ์ เพื่อให้เป็นซูเปอร์คาร์ในฝันสำหรับศตวรรษที่ 21 โดยนำองค์ความรู้ของการเทคโนโลยีทุกๆ ด้านของบริษัทเข้ามาร่วมผสมผสานและถ่ายทอดออกมา
Gilles Vidal ผู้อำนวยการฝ่ายออกแบบของเปอโยต์เผยว่า Onyx ถือเป็นซูเปอร์คาร์ที่มีความแข็งแกร่งในทุกมุมมอง และขณะเดียวกันก็แฝงด้วยความปราดเปรียวซึ่งถูกสะท้อนผ่านเส้นสายต่างๆ บนตัวถัง โดยตัวรถให้ความเพรียวลมด้วยค่าสัมประสิทธิ์แรงต้าน หรือ Cd อยู่ที่ 0.30 พร้อมหลังคาแบบนูนขึ้นและเซาะร่องตรงกลาง หรือ Double-Bubble ที่ฮิตมากในช่วงทศวรรษที่ 1980-1990 และเปอโยต์ก็นำมาใช้กับรุ่น RCZ ที่ขายอยู่ในปัจจุบันด้วย
ขนาดตัวถังของ Onyx มาพร้อมกับความยาว 4,650 มิลลิเมตร กว้าง 2,200 มิลลิเมตร สูง 1,130 มิลลิเมตร และมีน้ำหนักเบาเพียง 1,100 กิโลกรัมเท่านั้น อันเป็นผลมาจากการนำวัสดุที่มีความทันสมัยมาใช้กับตัวถังเพื่อลดน้ำหนักให้กับตัวรถ
โดยวัสดุที่น่าสนใจคือ PMMA (PolyMethyl MethAcrylate) ในการผลิตหน้าต่าง และหลังคา ขณะที่ส่วนอื่นๆ ผลิตจากอะลูมิเนียม ผสมกับคาร์บอนไฟเบอร์ ซึ่งวัสดุอย่างหลังถูกนำมาใช้ในการผลิตชิ้นส่วนของโครงสร้างห้องโดยสาร เพื่อความปลอดภัย และประสิทธิภาพในการปกป้อง
ด้านเครื่องยนต์ที่วางอยู่ทางด้านท้าย เป็นงานของขุมพลังไฮบริด ซึ่งจับคู่ระหว่างเครื่องยนต์เทอร์โบดีเซลวี8 ขนาด 3700 ซีซี พร้อมระบบ HDi FAP และมอเตอร์ไฟฟ้า โดยสามารถรีดกำลังออกมาได้ถึง 600 แรงม้า และจะเพิ่มเป็น 800 แรงม้าเมื่อทั้ง 2 ระบบทำงานร่วมกัน และมีแบตเตอรี่แบบลิเธียม-ไอออน รับหน้าที่เก็บกระแสไฟฟ้า
เมื่อคำนวนผ่านทางน้ำหนักตัวถังแล้วจะพบว่า ม้า 1 ตัวของ ONYX แบกน้ำหนักน้อยมาก ไม่ถึง 2 กิโลกรัม นอกจากนั้นยังมีการเจาะช่องระบายความร้อนบนตัวถังโดยใช้ช่องที่เรียกว่า NACA ในการนำลมผ่านทางช่องบนหลังคาไหลผ่านมายังเครื่องยนต์ เพิ่มประสิทธิภาพในการระบายความร้อน
เรื่องการทรงตัวเป็นงานของระบบช่วงล่างแบบปีกนก 2 ชั้นซึ่งสามารถควบคุมการทำงานของโช้กอัพในการปรับระดับความหนืดผ่านทางปุ่มควบคุมได้ และเพิ่มความมั่นใจด้วยล้อไซส์ 20 นิ้ว ซึ่งด้านหน้ามากับขนาด 275/30 และด้านหลัง 345/30 ส่วนระบบเบรกเป็นดิสก์ขนาด 380 มิลลิเมตรที่ด้านหน้า และ 355 มิลลิเมตรที่ด้านหลัง
สำหรับการผลิตขายในอนาคต ดูแล้วอาจจะเป็นเรื่องยากในตอนนี้ เพราะดูเหมือนว่าเปอโยต์จะยังไม่ให้ความสนใจกับการผลิต Halo Car เพื่อรุกตลาดซูเปอร์คาร์เฉพาะกลุ่ม และมีแนวโน้มสูงที่จะเป็นแค่ผลผลิตสำหรับจัดแสดงตามงานมอเตอร์โชว์