ฟรอสต์ แอนด์ ซัลลิแวน องค์กรให้คำปรึกษาและวิจัยระดับโลก คาดการณ์ตลาดยานยนต์ของภูมิภาคอาเซียนจะมีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 6 ของโลก ภายในปี 2561
นาย วิจาเยนดรา ราว ผู้จัดการฝ่ายวิจัยด้านอุตสาหกรรมยานยนต์ ประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก บริษัท ฟรอสต์ แอนด์ ซัลลิแวน องค์กรให้คำปรึกษาและวิจัยระดับโลก กล่าวว่า กลุ่มอาเซียนเริ่มมีบทบาทในการดึงดูดเม็ดเงินลงทุนจากต่างชาติมากขึ้นนับตั้งแต่มีการเปิดเขตการค้าเสรีอาเซียนในปี 2553 ที่ผ่านมา
จากผลการศึกษาและวิจัยเรื่อง CEO 360 Degree Perspective of the Automotive Industry in ASEAN ของบริษัท ฟรอสต์ แอนด์ ซัลลิแวน ซึ่งครอบคลุม 4 ประเทศในภูมิภาคอาเซียน ได้แก่ อินโดนีเซีย มาเลเซีย เวียดนาม และ ประเทศไทย พบว่า ตลาดดังกล่าวมีอัตราการเติบโต (CAGR) อยู่ที่ 10.1% ในช่วงระหว่างปี 2554-2561 และภายในปี 2556 ยอดขายรถยนต์ของประเทศไทยและอินโดนีเซียจะสูงถึง 1 ล้านหน่วย เนื่องจากความต้องการภายในประเทศ กำลังซื้อที่เพิ่มขึ้น และเม็ดเงินลงทุนจาก OEM ของญี่ปุ่น บริษัทรถยนต์หลายแห่งจากประเทศจีนและอินเดีย กำลังหาช่องทางที่จะขยายตลาดในอาเซียน เนื่องจากอาเซียนเป็นฐานการผลิตที่มีประสิทธิภาพแข็งแกร่ง
วิเคราะห์ภาพรวมแต่ละประเทศ เริ่มจาก ประเทศไทย
นายวิจาเยนดรา กล่าวว่า ผลกระทบจากแผ่นดินไหวในประเทศญี่ปุ่น และอุทกภัยครั้งใหญ่ในประเทศไทย เมื่อปีที่แล้ว ส่งผลให้การผลิตในอุตสาหกรรมยานยนต์ของประเทศไทยได้หยุดชะงักลง และส่งผลกระทบต่อยอดขายโดยรวม อย่างไรก็ตาม คาดว่า ในปีนี้การผลิตและยอดขายต่างๆ จะสามารถฟื้นตัวได้
“รถปิกอัพ ยังคงเป็นรถที่ได้รับความนิยมสูงสุดในประเทศไทย ถึงแม้ว่าจะมีอัตราการเติบโตในปีที่แล้วต่ำกว่าที่ประมาณการไว้ในปีที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม คนรุ่นใหม่ในประเทศไทยส่วนใหญ่ยังชอบรถที่มีขนาดเล็ก ซึ่งรวมถึง อีโคคาร์ เนื่องจากความทันสมัยและราคาไม่สูงมากนัก โดยเฉพาะแบบ 5 ประตู (Hatchbacks) ซึ่งสื่อถึงความเป็นสปอร์ตคาร์ และความเร็วของเครื่องยนต์” ”
นายวิจาเยนดรา เปิดเผยในปีที่ผ่านมา เซ็กเมนต์ของรถยนต์โดยสารมีการขยายตัวถึง 3.9% (year on year) ในขณะที่ยอดขายของรถปิคอัพลดลง 4.9 % (year on year) สำหรับกำลังการผลิตรถยนต์ของประเทศไทย คาดว่า จะมีอัตราการเติบโต (CAGR) จากปี 2554-2561 อยู่ที่ 11.9% ส่วนยอดขายทั้งหมดจะมีอัตราการเติบโตที่ 16.1% (CAGR) และคาดว่า การผลิตรถเพื่อการโดยสารจะมีโอกาสแซงหน้ารถเพื่อการพาณิชย์ในอนาคตอันใกล้
นายวิจาเยนดรา เปิดเผยเพิ่มเติมว่า ประเทศในภูมิภาคเอเชีย ตะวันออกกลาง และโอเชียเนีย ยังคงเป็นจุดหมายหลักของการส่งออกยานยนต์ของไทย ซึ่ง 73.9% ของยานยนต์ที่ส่งออกทั้งหมด เมื่อปี 2554 ที่ผ่านมา ได้ถูกส่งออกไปยังประเทศในภูมิภาคดังกล่าว
“ความต้องการของผู้บริโภคชาวไทยมีความซับซ้อนมากขึ้น อีกทั้งยังต้องการรถที่มีคุณสมบัติต่างๆ เหล่านี้เพิ่มขึ้น อาทิ ระบบเบรก ABS ระบบแอร์แบค รวมถึงระบบที่คอยอำนวยความสะดวกต่างๆ เช่น ระบบจีพีเอส และ ดีวีดี หรือ ทีวี เพื่อความบันเทิง เป็นต้น”
ยอดขายยานยนต์ทั้งหมดในประเทศไทย คาดว่า จะมีอัตราการเติบโตที่ 16.1% ในปี 2554-2561 (CAGR) โดยมียอดสูงถึง 2.26 ล้านหน่วย ในปี 2561 เนื่องจากความเชื่อมั่นของผู้บริโภคในเชิงบวก และการนำเสนอรถรุ่นใหม่ๆซึ่งมีความหลากหลายมากขึ้น นอกจากนี้ การสนับสนุนจากรัฐบาลในรูปแบบต่างๆ อาทิ โครงการรถคันแรก จะช่วยกระตุ้นความต้องการภายในประเทศในช่วงระยะเวลาดังกล่าวได้เป็นอย่างดี
อินโดนีเซีย
ปีที่ผ่านมา ถือเป็นปีแห่งความโชคดีของตลาดยานยนต์ประเทศอินโดนีเซีย เนื่องจากปริมาณการผลิตทั้งหมดเพิ่มขึ้นถึง 16.9% (year on year) ถึงแม้ว่าจะมีการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก และภัยพิบัติทางธรรมชาติในประเทศญี่ปุ่น และประเทศไทย ทำให้อินโดนีเซียเป็นตลาดยานยนต์ที่ใหญ่ที่สุดในอาเซียน
มูลค่าการส่งออกยานยนต์ของอินโดนีเซีย มีมูลค่าสูงถึง 203.5 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ ในปีที่ผ่านมา ซึ่งส่วนใหญ่ส่งออกไปยังประเทศอื่นๆ ในภูมิภาคอาเซียน โดยรถนำเข้าแบบทั้งคัน (CBU) โตขึ้น 25.8% หรือ 107,932 หน่วยในปี 2554
รถอเนกประสงค์ (Multi-purpose vehicles - MPV) เป็นรถที่เป็นที่ต้องการมากที่สุดในตลาดอินโดนีเซีย เนื่องจากรถที่ขายดีที่สุด 5 อันดับแรก มาจากเซ็กเมนต์นี้ทั้งหมด อย่างไรก็ตาม คอมแพกต์คาร์ โดยเฉพาะแบบ 5 ประตู ก็ยังคงเป็นที่นิยมในกลุ่มคนหนุ่มสาวที่ต้องเดินทางไปมาอยู่ตลอด
ยอดขายโดยรวมของอินโดนีเซีย คาดว่า จะมีอัตราการเติบโต (CAGR) อยู่ที่ 8.7% ในปี 2554-2561 โดยมียอดสูงถึง 1.6 ล้านหน่วย ในปี 2561 เนื่องจากการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างมั่นคง ความเชื่อมั่นในเชิงบวกของผู้บริโภค อัตราดอกเบี้ยที่ต่ำ และการเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่ๆของผู้ผลิตต่างๆ และมีกำลังการผลิตยานยนต์ของประเทศอินโดนีเซีย มีอัตราการเติบโต (CAGR) อยู่ที่ร้อยละ 9 ในปี 2554-2561
อินโดนีเซียมีแนวโน้มว่าจะเป็นศูนย์กลางการผลิตรถยนต์ราคาถูกและรักษาสิ่งแวดล้อม (Low-cost green vehicles) ในอนาคต และยังเป็นฐานการผลิตยานยนต์ที่ใหญ่ที่สุดในอาเซียน เนื่องจากกำลังการผลิตของผู้ผลิตรถยนต์ต่างๆ ที่เพิ่มมากขึ้น เพื่อรองรับความต้องการที่เพิ่มขึ้นของตลาดในระดับนานาชาติ
มาเลเซีย
รัฐบาลมาเลเซียได้ขยายการยกเว้นภาษีเต็มรูปแบบของภาษีนำเข้า และอากรขาภาษีสรรพสามิต ของรถยนต์ไฮบริด และรถยนต์ไฟฟ้าสำหรับรถที่มีขนาดเล็กกว่า 2,000 ซีซีจนถึงปลายปีหน้า ซึ่งนโยบายดังกล่าวทำให้ยอดขายรถรุ่นไฮบริดต่างๆ อาทิ Honda Insight, Toyota Prius และ 200H Lexus CT มีการเติบโตอย่างมาก
อย่างไรก็ตาม ผู้ผลิตรถยนต์ต่างๆ ควรมีการให้ความรู้กับประชาชนเกี่ยวกับเทคโนโลยีใหม่ๆ และให้ความสำคัญกับความกังวลของลูกค้าเกี่ยวกับค่าบำรุงรักษารถยนต์ รวมถึงการเปิดตัวรถรุ่นใหม่ๆเพื่อดึงดูดความสนใจของลูกค้าให้มากขึ้น
เวียดนาม
นอกจากจะต้องเผชิญกับสถานการณ์ที่ไม่เป็นในปีที่ผ่านมา ยอดขายยานยนต์ทั้งหมดของเวียดนามลดลง 2% และคาดว่า ยอดขายในปี 2555 จะลดลงถึง 12% (year-on-year) ซึ่งเป็นผลกระทบจากนโยบายต่างๆ ของรัฐบาล อาทิ การจำกัดจำนวนรถยนต์นำเข้า และการจำกัดกรรมสิทธิ์ในรถยนต์ส่วนตัวของประชาชน
อย่างไรก็ตาม ความต้องการรถยนต์นั่ง (Passenger cars) โดยเฉพาะขนาด 2.0 CC หรือต่ำกว่านั้น ยังคงเพิ่มขึ้นเนื่องจาก เหมาะกับสภาพถนนในประเทศเวียดนามและประหยัดเชื้อเพลิงมากกว่า