ข่าวในประเทศ - ประธานจัดงานมอเตอร์เอ็กซ์โป มุ่งหวังผลักดันงานแสดงรถยนต์ในไทยอีก 4-5 ปี เป็นศูนย์กลางของภูมิภาคอาเซียน เผยปัจจุบันใกล้เคียง 75% ไปแล้ว เผยมีการเตรียมรับเรื่องของพื้นที่ รูปแบบการจัดงาน และยิ่งเออีซีทำให้อาเซียนเป็นหนึ่งเดียว โอกาสย่อมเป็นไปได้มาก ฟุ้งปีนี้ทุ่ม 150 ล้านบาท จัดงานยิ่งใหญ่มี 38 ค่ายรถ 7 บิ๊กไบค์เข้าร่วม คาดยอดจองพุ่งเป็น 4.5 หมื่นคัน ส่วนหนึ่งมาจากโครงการรถคันแรก แต่ติงนโยบายนี้อาจทำให้เกิดตลาดเทียม
นายขวัญชัย ปภัสพงษ์ ประธานจัดงาน “มหกรรมยานยนต์” ครั้งที่ 29 หรือมอเตอร์เอ็กซ์โป 2012 เปิดเผยว่า อุตสาหกรรมยานยนต์ในไทยมีการเติบโตอย่างมาก โดยเฉพาะปีนี้ที่บริษัทคาดว่าจะมียอดขายมากถึง 1.2 ล้านคัน ซึ่งถือเป็นสถิติสูงสุดในประวัติศาสตร์รถยนต์ไทย และมองว่ายิ่งหากมีการเปิดเสรีการค้า ตามกรอบข้อตกลงประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน หรือเออีซี(AEC) ในปี 2558 ยิ่งจะทำให้อุตสาหกรรมรถยนต์ในไทยคึกคักอย่างมาก
“เอเอซีเป็นเรื่องดีต่ออุตสาหกรรมรถยนต์ไทย และเราเองคิดจะไปจัดงานมอเตอร์เอ็กซ์โป ในประเทศอื่นของกลุ่มอาเซียนเช่นกัน แต่เมื่อมองกลับอีกมุม เห็นว่าทำไมไม่จัดงานในไทย ให้เป็นศูนย์กลางงานแสดงรถยนต์ของภูมิภาค เหมือนกับเจนีวา มอเตอร์โชว์ งานแสดงรถยนต์ของยุโรปในช่วงต้นปีของทุก ๆ ปี และปัจจุบันงานแสดงรถยนต์ในไทย มีความใกล้เคียงระดับ 70-75% อยู่แล้ว ซึ่งหากมีการปรับให้มีความเป็นสากลอีกหน่อย คาดว่าภายใน 4-5 ปี ไทยน่าจะเป็นศูนย์กลางงานแสดงรถยนต์ในภูมิภาคของอาเซียนได้”
ทั้งนี้ ปัจจัยหลักๆ ของการที่จะเป็นศูนย์กลางงานแสดงรถยนต์ในภูมิภาค เรื่องของพื้นที่จะใหญ่และมีการแยกกันชัดเจน อย่างอาคารชาลเลนเจอร์จะต้องเป็นสถานที่แสดงรถยนต์อย่างเดียว และแยกพวกอุปกรณ์ประดับยนต์ หรือรถจักรยานยนต์ออกไปอีกอาคาร ซึ่งตรงนี้สอดคล้องกับแผนของทางอิมแพ็กฯ ที่กำลังเจรจาขอซื้อพื้นที่ฝั่งตรงข้าม เพื่อสร้างอาคารคร่อมถนน เชื่อมกับอาคารชาลเลนเจอร์ จะทำให้มีพื้นที่เพิ่มขึ้นอีกเกือบ 1 แสนตารางเมตร และเป็นอาคารที่เชื่อมต่อกันได้ ทำให้ไม่ลำบากในการเดินชมงาน
นายขวัญชัย กล่าวว่า ในส่วนของการปรับงานให้มีความระดับสากลมากขึ้น อย่างเช่นเรื่องของอาคารแสดงรถยนต์ต้องเป็นเอกเทศ และมีรถยนต์โมเดลมาเปิดตัว ซึ่งปัจจุบันไทยนับเป็นฐานการผลิตสำคัญของบริษัทรถทั่วโลก และมีการเปิดตัวรถยนต์โมเดลใหม่ครั้งแรกในไทยมากขึ้นเรื่อยๆ แม้ในอนาคตจะมีอินโดนีเซียเป็นคู่แข่งสำคัญ แต่การที่มีเออีซีหรืออาเซียนเป็นตลาดหนึ่งเดียว การเปิดตัวรถต้นแบบ หรือรถยนต์รุ่นใหม่ครั้งแรก ไม่ว่ารุ่นนั้นจะผลิตในไทย, อินโดนีเซีย หรือมาเลเซีย หากพื้นที่และงานแสดงรถยนต์ของไทยเทียบเท่าระดับสากล ย่อมจะถูกนำมาจัดแสดงในไทย เหมือนกับงานเจนีวา หรือแฟรงก์เฟิร์ต มอเตอร์โชว์ของยุโรป
สำหรับการเปิดรับจองพื้นที่แสดงรถยนต์ในงานมอเตอร์เอ็กซ์โป 2012 ซึ่งจะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 29 พฤศจิกายน - 10 ธันวาคม 2555 นี้ ประสบความสำเร็จตามคาดหมาย โดยได้รับการจองพื้นที่จากบริษัทรถยนต์ รถจักรยานยนต์ และผู้จำหน่ายอุปกรณ์ประดับยนต์ เต็มพื้นที่กว่า 6 หมื่นตารางเมตร ในอาคารชาลเลนเจอร์ 1-3 ซึ่งปีนี้ได้มีการเพิ่มพื้นที่ในส่วนของการจัดแสดงรถยนต์อีกประมาณ 10% และใช้งบลงทุนไปประมาณ 150 ล้านบาท จากเดิมอยู่ที่ 120-130 ล้านบาท
“ปีนี้มีค่ายรถจองพื้นที่รวม 38 ราย และรถจักรยานยนต์ขนาดใหญ่ หรือบิ๊กไบค์ 7 ราย ซึ่งไฮไลต์ปีนี้มั่นใจจะมีรถต้นแบบและรถใหม่ที่นำมาจัดแสดง ตรงกับแนวคิดของาน คือ ยานยนต์วันหน้าที่มาวันนี้ ที่มุ่งเน้นเรื่องความสะดวก ประหยัด ปลอดภัย และเป็นกับสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะหลายค่ายจะระดมเปิดตัวรถรุ่นใหม่ เพราะผู้จัดดึงดูดใจด้วยข้อเสนอสิทธิประโยชน์ พร้อมส่วนลดต่างๆ แก่ค่ายรถ ประกอบกับโครงการรถคันแรกที่จะสิ้นภายในสิ้นเดือนธันวาคมนี้ จะมีส่วนให้ผลักดันตลาดขยายตัวมาก คาดว่าจะมียอดจองรถในงานไม่ต่ำกว่า 4.5 หมื่นคัน จากปีที่ผ่านมากว่า 3 หมื่นคัน”
อย่างไรก็ตาม เรื่องของรถคันแรกมีความเห็นว่า เป็นการสร้างตลาดเทียมขึ้นมา หรือไม่ตรงกับความเป็นจริง ทำให้อาจจะส่งผลกระทบต่อตลาดรถในปีต่อๆ ไปได้ ยิ่งการที่รัฐบาลเลื่อนระยะเวลาการส่งมอบออกไปไม่มีกำหนด หวั่นจะทำให้เกิดปัญหาลูกค้ายิ่งต้องรอรถนาน หรือการผลิตที่ไม่เป็นตามความเป็นจริง และอีกหลายปัญหาที่จะตามมาด้วย
นายขวัญชัย ปภัสพงษ์ ประธานจัดงาน “มหกรรมยานยนต์” ครั้งที่ 29 หรือมอเตอร์เอ็กซ์โป 2012 เปิดเผยว่า อุตสาหกรรมยานยนต์ในไทยมีการเติบโตอย่างมาก โดยเฉพาะปีนี้ที่บริษัทคาดว่าจะมียอดขายมากถึง 1.2 ล้านคัน ซึ่งถือเป็นสถิติสูงสุดในประวัติศาสตร์รถยนต์ไทย และมองว่ายิ่งหากมีการเปิดเสรีการค้า ตามกรอบข้อตกลงประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน หรือเออีซี(AEC) ในปี 2558 ยิ่งจะทำให้อุตสาหกรรมรถยนต์ในไทยคึกคักอย่างมาก
“เอเอซีเป็นเรื่องดีต่ออุตสาหกรรมรถยนต์ไทย และเราเองคิดจะไปจัดงานมอเตอร์เอ็กซ์โป ในประเทศอื่นของกลุ่มอาเซียนเช่นกัน แต่เมื่อมองกลับอีกมุม เห็นว่าทำไมไม่จัดงานในไทย ให้เป็นศูนย์กลางงานแสดงรถยนต์ของภูมิภาค เหมือนกับเจนีวา มอเตอร์โชว์ งานแสดงรถยนต์ของยุโรปในช่วงต้นปีของทุก ๆ ปี และปัจจุบันงานแสดงรถยนต์ในไทย มีความใกล้เคียงระดับ 70-75% อยู่แล้ว ซึ่งหากมีการปรับให้มีความเป็นสากลอีกหน่อย คาดว่าภายใน 4-5 ปี ไทยน่าจะเป็นศูนย์กลางงานแสดงรถยนต์ในภูมิภาคของอาเซียนได้”
ทั้งนี้ ปัจจัยหลักๆ ของการที่จะเป็นศูนย์กลางงานแสดงรถยนต์ในภูมิภาค เรื่องของพื้นที่จะใหญ่และมีการแยกกันชัดเจน อย่างอาคารชาลเลนเจอร์จะต้องเป็นสถานที่แสดงรถยนต์อย่างเดียว และแยกพวกอุปกรณ์ประดับยนต์ หรือรถจักรยานยนต์ออกไปอีกอาคาร ซึ่งตรงนี้สอดคล้องกับแผนของทางอิมแพ็กฯ ที่กำลังเจรจาขอซื้อพื้นที่ฝั่งตรงข้าม เพื่อสร้างอาคารคร่อมถนน เชื่อมกับอาคารชาลเลนเจอร์ จะทำให้มีพื้นที่เพิ่มขึ้นอีกเกือบ 1 แสนตารางเมตร และเป็นอาคารที่เชื่อมต่อกันได้ ทำให้ไม่ลำบากในการเดินชมงาน
นายขวัญชัย กล่าวว่า ในส่วนของการปรับงานให้มีความระดับสากลมากขึ้น อย่างเช่นเรื่องของอาคารแสดงรถยนต์ต้องเป็นเอกเทศ และมีรถยนต์โมเดลมาเปิดตัว ซึ่งปัจจุบันไทยนับเป็นฐานการผลิตสำคัญของบริษัทรถทั่วโลก และมีการเปิดตัวรถยนต์โมเดลใหม่ครั้งแรกในไทยมากขึ้นเรื่อยๆ แม้ในอนาคตจะมีอินโดนีเซียเป็นคู่แข่งสำคัญ แต่การที่มีเออีซีหรืออาเซียนเป็นตลาดหนึ่งเดียว การเปิดตัวรถต้นแบบ หรือรถยนต์รุ่นใหม่ครั้งแรก ไม่ว่ารุ่นนั้นจะผลิตในไทย, อินโดนีเซีย หรือมาเลเซีย หากพื้นที่และงานแสดงรถยนต์ของไทยเทียบเท่าระดับสากล ย่อมจะถูกนำมาจัดแสดงในไทย เหมือนกับงานเจนีวา หรือแฟรงก์เฟิร์ต มอเตอร์โชว์ของยุโรป
สำหรับการเปิดรับจองพื้นที่แสดงรถยนต์ในงานมอเตอร์เอ็กซ์โป 2012 ซึ่งจะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 29 พฤศจิกายน - 10 ธันวาคม 2555 นี้ ประสบความสำเร็จตามคาดหมาย โดยได้รับการจองพื้นที่จากบริษัทรถยนต์ รถจักรยานยนต์ และผู้จำหน่ายอุปกรณ์ประดับยนต์ เต็มพื้นที่กว่า 6 หมื่นตารางเมตร ในอาคารชาลเลนเจอร์ 1-3 ซึ่งปีนี้ได้มีการเพิ่มพื้นที่ในส่วนของการจัดแสดงรถยนต์อีกประมาณ 10% และใช้งบลงทุนไปประมาณ 150 ล้านบาท จากเดิมอยู่ที่ 120-130 ล้านบาท
“ปีนี้มีค่ายรถจองพื้นที่รวม 38 ราย และรถจักรยานยนต์ขนาดใหญ่ หรือบิ๊กไบค์ 7 ราย ซึ่งไฮไลต์ปีนี้มั่นใจจะมีรถต้นแบบและรถใหม่ที่นำมาจัดแสดง ตรงกับแนวคิดของาน คือ ยานยนต์วันหน้าที่มาวันนี้ ที่มุ่งเน้นเรื่องความสะดวก ประหยัด ปลอดภัย และเป็นกับสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะหลายค่ายจะระดมเปิดตัวรถรุ่นใหม่ เพราะผู้จัดดึงดูดใจด้วยข้อเสนอสิทธิประโยชน์ พร้อมส่วนลดต่างๆ แก่ค่ายรถ ประกอบกับโครงการรถคันแรกที่จะสิ้นภายในสิ้นเดือนธันวาคมนี้ จะมีส่วนให้ผลักดันตลาดขยายตัวมาก คาดว่าจะมียอดจองรถในงานไม่ต่ำกว่า 4.5 หมื่นคัน จากปีที่ผ่านมากว่า 3 หมื่นคัน”
อย่างไรก็ตาม เรื่องของรถคันแรกมีความเห็นว่า เป็นการสร้างตลาดเทียมขึ้นมา หรือไม่ตรงกับความเป็นจริง ทำให้อาจจะส่งผลกระทบต่อตลาดรถในปีต่อๆ ไปได้ ยิ่งการที่รัฐบาลเลื่อนระยะเวลาการส่งมอบออกไปไม่มีกำหนด หวั่นจะทำให้เกิดปัญหาลูกค้ายิ่งต้องรอรถนาน หรือการผลิตที่ไม่เป็นตามความเป็นจริง และอีกหลายปัญหาที่จะตามมาด้วย