ใครจะรู้ว่าชีวิตหลังพวงมาลัยของ “นภ พรชำนิ” ช่างแตกต่างจากภาพลักษณ์ของชายหนุ่มผู้มีบุคลิกอันแสนอบอุ่นอย่างสิ้นเชิง แม้ว่านักร้องนำวงพี.โอ.พี. (P.O.P.-Period of Party) และสมาชิกเพิ่งจะได้กลับมารวมตัวกัน หลังห่างหายจากวงการเพลงในบ้านเรานานกว่า 8 ปี แต่ครั้งนี้เจ้าตัวขออนุญาตฝากเรื่องดนตรีไว้หลังไมค์ ตั้งใจมาเมาท์เรื่องรถอย่างเดียวเพียวๆ เท่านั้น...
ย้อนกลับไปด้วยวัยเพียง 8 ขวบ นักร้องหนุ่มใหญ่เริ่มหัดขับรถครั้งแรก ภายใต้พื้นที่โล่งย่านพระราม 6 เด็กน้อยคนนั้นสนุกสนานกับการเหยียบคลัทช์และเปลี่ยนเกียร์ให้กับเมอร์เซเดส-เบนซ์ รถคันโปรดของคุณตาโดยมีท่านเป็นเทรนเนอร์ส่วนตัวคอยแนะนำและให้การดูแลอย่างใกล้ชิด
“มาหัดขับรถจริงจังช่วงอายุได้ 18 ปี เพราะต้องไปทำใบขับขี่ แต่ระหว่างนั้นผมก็ได้ลองขับรถของที่บ้านทุกคัน โดยเวลาขับเข้าซอยเล็กๆ จะชอบมาก เหมือนเป็นการท้าทายความสามารถในการควบคุมรถของตัวเอง”
จวบจนกระทั่งเข้าเรียนที่มหาวิทยาลัยมหิดล เขาได้ครอบครองรถคันแรก โฟล์คฯ แวน และสลับสับเปลี่ยนยานพาหนะเรื่อยมาจนถึงคันล่าสุดอย่าง “อัลฟ่า โรมิโอ 147” ซึ่งเขาเล่าว่าเปรียบเสมือนรถคู่กายที่ใช้ในชีวิตประจำวันและถือเป็นแรงบันดาลใจในการทำงานเพลงอีกด้วย
อย่างไรก็ตาม จากเคยเป็นรถคู่ใจมาเกือบ 10 ปี แต่ตอนนี้ อัลฟ่า 147 ต้องจอดสงบนิ่งอยู่แต่ในบ้าน เพราะเกิดปัญหากับแผงวงจรไฟฟ้า และกำลังรอสั่งอะไหล่มาเปลี่ยนจากค่ายรถแดนมักกะโรนีโดยตรง
“ในเมืองไทยผมไม่ค่อยได้ใช้รถเท่าไร แค่ขับไป-กลับที่ทำงานเพียงวันละ 2.5 กม. แต่ถ้าเป็นที่อเมริกาในเมืองซานฟรานซิสโกผมใช้รถตอบสนองไลฟ์สไตล์อย่างคุ้มค่า เพราะผมมีรถไว้เพื่อขับเที่ยวเป็นหลัก โดยช่วงเวลาที่สุดยอดที่สุดในการขับรถคือ เช้าตรู่ของวันเสาร์ เนื่องจากถนนจะโล่งมาก พวกฝรั่งเขาจะเที่ยวคืนวันศุกร์และตื่นสายในวันเสาร์ ดังนั้น ผมจะออกไปขับรถเล่นตั้งแต่ประมาณตีห้าครึ่ง บนถนนยังไม่มีรถคันอื่นวิ่ง เราก็ได้สนุกกับการขับรถอย่างเต็มที่”
“การออกไปขับรถเล่นในเช้าวันเสาร์ ผมจะมีความสุขมาก ได้วางแผนเช็คเส้นทางในกูเกิ้ลแมพ ตั้งใจจะไปชมพระอาทิตย์ขึ้นหรือไปชมวิวสถานที่ต่างๆ ผมจะบอกภรรยา (เพลิน ประทุมมาศ) ว่าเดี๋ยวพี่กลับมานะ เหมือนเราได้ไปวิ่งออกกำลังกาย แต่เป็นการออกไปขับรถเล่น รู้สึกได้ผ่อนคลายและย้ำว่ามีความสุขมากๆ เสมือนเป็นสวรรค์ของคนชอบขับรถ ซึ่งพอถึงประมาณ 8 โมงก็กลับมาทานข้าวเช้าด้วยกัน”
“ผมเป็นคนขับรถค่อนข้างปลอดภัย แม้ว่าจะชอบขับเพื่อลองสมรรถนะก็ตาม โดยจะมีลิมิตของตัวเอง อย่างมากตั้งเป้าเหยียบคันเร่งเต็มที่ไว้แค่ครึ่งนาทีก็พอ ซึ่งขาไปจะต้องเช็คเส้นทางเรียนรู้ว่ามีโค้งลักษณะไหนบ้าง ขากลับจึงค่อยซัดกลับมา ทั้งนี้ เราต้องรอบคอบและไม่ประมาท เพราะมีชีวิตเดียวรวมถึงต้องดูแลอีกหลายคน”
นอกจากประสบการณ์ขับรถในต่างแดนแล้ว “นภ พรชำนิ” เล่าต่อว่า เขาแวะเวียนไปที่ร้านขายรถยนต์แทบทุกอาทิตย์ เรียกได้ว่าไปบ่อยจนเจ้าของร้านคุ้นเคยจนจำหน้ากันได้เลยทีเดียว
“หากมีเวลาว่างก็จะแวะไปตามสไตล์คนไทยไปที่ไหนก็นอบน้อมและเป็นมิตรกับทุกคน ยิ่งเรารู้ว่ารถราคาแพงก็ไม่กล้าไปจับสุ่มสี่สุ่มห้า เขาก็รู้สึกดีกับเราที่มีความเกรงใจ แต่วัฒนธรรมที่นั่นทุกคนเท่ากันหมด เขาให้บริการมาตรฐานเดียวกันไม่ว่าคุณจะมีเงินซื้อหรือไม่ก็ตาม ต่างจากเมืองไทยถ้าเห็นว่าไม่ใช่ลูกค้าก็จะดูแลอีกแบบหนึ่ง”
ได้คุยเรื่องรถกันมาหอมปากหอมคอ นักร้องเจ้าของน้ำเสียงอบอุ่นในวัย 40 ปี ขอทิ้งท้ายฝากผลงานดนตรีล่าสุดว่า “สำหรับแฟนเพลงที่รอติดตามฟัง พี.โอ.พี. ชุดใหม่ คิดว่าน่าจะเสร็จทั้งอัลบั้มประมาณปลายเดือนกันยายน ช่วงนี้ลองฟังและติชมกันได้กับซิงเกิ้ลแรก เพลงคนที่ไม่บอกผ่าน ส่วนคอนเสิร์ตใหญ่ฉลองการกลับมาคาดว่าจะมีแน่นอนไม่เกินสิ้นปีนี้ครับ”
ย้อนกลับไปด้วยวัยเพียง 8 ขวบ นักร้องหนุ่มใหญ่เริ่มหัดขับรถครั้งแรก ภายใต้พื้นที่โล่งย่านพระราม 6 เด็กน้อยคนนั้นสนุกสนานกับการเหยียบคลัทช์และเปลี่ยนเกียร์ให้กับเมอร์เซเดส-เบนซ์ รถคันโปรดของคุณตาโดยมีท่านเป็นเทรนเนอร์ส่วนตัวคอยแนะนำและให้การดูแลอย่างใกล้ชิด
“มาหัดขับรถจริงจังช่วงอายุได้ 18 ปี เพราะต้องไปทำใบขับขี่ แต่ระหว่างนั้นผมก็ได้ลองขับรถของที่บ้านทุกคัน โดยเวลาขับเข้าซอยเล็กๆ จะชอบมาก เหมือนเป็นการท้าทายความสามารถในการควบคุมรถของตัวเอง”
จวบจนกระทั่งเข้าเรียนที่มหาวิทยาลัยมหิดล เขาได้ครอบครองรถคันแรก โฟล์คฯ แวน และสลับสับเปลี่ยนยานพาหนะเรื่อยมาจนถึงคันล่าสุดอย่าง “อัลฟ่า โรมิโอ 147” ซึ่งเขาเล่าว่าเปรียบเสมือนรถคู่กายที่ใช้ในชีวิตประจำวันและถือเป็นแรงบันดาลใจในการทำงานเพลงอีกด้วย
อย่างไรก็ตาม จากเคยเป็นรถคู่ใจมาเกือบ 10 ปี แต่ตอนนี้ อัลฟ่า 147 ต้องจอดสงบนิ่งอยู่แต่ในบ้าน เพราะเกิดปัญหากับแผงวงจรไฟฟ้า และกำลังรอสั่งอะไหล่มาเปลี่ยนจากค่ายรถแดนมักกะโรนีโดยตรง
“ในเมืองไทยผมไม่ค่อยได้ใช้รถเท่าไร แค่ขับไป-กลับที่ทำงานเพียงวันละ 2.5 กม. แต่ถ้าเป็นที่อเมริกาในเมืองซานฟรานซิสโกผมใช้รถตอบสนองไลฟ์สไตล์อย่างคุ้มค่า เพราะผมมีรถไว้เพื่อขับเที่ยวเป็นหลัก โดยช่วงเวลาที่สุดยอดที่สุดในการขับรถคือ เช้าตรู่ของวันเสาร์ เนื่องจากถนนจะโล่งมาก พวกฝรั่งเขาจะเที่ยวคืนวันศุกร์และตื่นสายในวันเสาร์ ดังนั้น ผมจะออกไปขับรถเล่นตั้งแต่ประมาณตีห้าครึ่ง บนถนนยังไม่มีรถคันอื่นวิ่ง เราก็ได้สนุกกับการขับรถอย่างเต็มที่”
“การออกไปขับรถเล่นในเช้าวันเสาร์ ผมจะมีความสุขมาก ได้วางแผนเช็คเส้นทางในกูเกิ้ลแมพ ตั้งใจจะไปชมพระอาทิตย์ขึ้นหรือไปชมวิวสถานที่ต่างๆ ผมจะบอกภรรยา (เพลิน ประทุมมาศ) ว่าเดี๋ยวพี่กลับมานะ เหมือนเราได้ไปวิ่งออกกำลังกาย แต่เป็นการออกไปขับรถเล่น รู้สึกได้ผ่อนคลายและย้ำว่ามีความสุขมากๆ เสมือนเป็นสวรรค์ของคนชอบขับรถ ซึ่งพอถึงประมาณ 8 โมงก็กลับมาทานข้าวเช้าด้วยกัน”
“ผมเป็นคนขับรถค่อนข้างปลอดภัย แม้ว่าจะชอบขับเพื่อลองสมรรถนะก็ตาม โดยจะมีลิมิตของตัวเอง อย่างมากตั้งเป้าเหยียบคันเร่งเต็มที่ไว้แค่ครึ่งนาทีก็พอ ซึ่งขาไปจะต้องเช็คเส้นทางเรียนรู้ว่ามีโค้งลักษณะไหนบ้าง ขากลับจึงค่อยซัดกลับมา ทั้งนี้ เราต้องรอบคอบและไม่ประมาท เพราะมีชีวิตเดียวรวมถึงต้องดูแลอีกหลายคน”
นอกจากประสบการณ์ขับรถในต่างแดนแล้ว “นภ พรชำนิ” เล่าต่อว่า เขาแวะเวียนไปที่ร้านขายรถยนต์แทบทุกอาทิตย์ เรียกได้ว่าไปบ่อยจนเจ้าของร้านคุ้นเคยจนจำหน้ากันได้เลยทีเดียว
“หากมีเวลาว่างก็จะแวะไปตามสไตล์คนไทยไปที่ไหนก็นอบน้อมและเป็นมิตรกับทุกคน ยิ่งเรารู้ว่ารถราคาแพงก็ไม่กล้าไปจับสุ่มสี่สุ่มห้า เขาก็รู้สึกดีกับเราที่มีความเกรงใจ แต่วัฒนธรรมที่นั่นทุกคนเท่ากันหมด เขาให้บริการมาตรฐานเดียวกันไม่ว่าคุณจะมีเงินซื้อหรือไม่ก็ตาม ต่างจากเมืองไทยถ้าเห็นว่าไม่ใช่ลูกค้าก็จะดูแลอีกแบบหนึ่ง”
ได้คุยเรื่องรถกันมาหอมปากหอมคอ นักร้องเจ้าของน้ำเสียงอบอุ่นในวัย 40 ปี ขอทิ้งท้ายฝากผลงานดนตรีล่าสุดว่า “สำหรับแฟนเพลงที่รอติดตามฟัง พี.โอ.พี. ชุดใหม่ คิดว่าน่าจะเสร็จทั้งอัลบั้มประมาณปลายเดือนกันยายน ช่วงนี้ลองฟังและติชมกันได้กับซิงเกิ้ลแรก เพลงคนที่ไม่บอกผ่าน ส่วนคอนเสิร์ตใหญ่ฉลองการกลับมาคาดว่าจะมีแน่นอนไม่เกินสิ้นปีนี้ครับ”