xs
xsm
sm
md
lg

“บ็อกซเตอร์ ใหม่” ใหญ่ยาวเบากว่า เปิดราคา7.9-8.6ล้านบาท

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


วานนี้ (21 มิ.ย.) บริษัท เอเอเอส ออโต้ เซอร์วิส จำกัด ผู้นำเข้ารถยนต์ปอร์เช่อย่างเป็นทางการ เปิดตัว “บ็อกซเตอร์” เจเนอเรชั่นใหม่ล่าสุด โรดสเตอร์เครื่องยนต์วางกลางซึ่งชูจุดเด่นที่การปรับโฉมใหม่หมด โดยตัวรถมีขนาดกว้างขึ้น ฐานล้อยาวขึ้น ขณะที่น้ำหนักเบาลง เปิดทางเลือก 2 รุ่น บ็อกซเตอร์ และบ็อกซเตอร์ เอส สนนราคาเริ่มต้น 7.9-8.6 ล้านบาท


บ็อกซเตอร์ เจเนอเรชั่นใหม่ล่าสุด (The New Boxster) นับเป็นสายรหัสโรดสเตอร์เครื่องยนต์วางกลางรุ่นที่ 3 ซึ่งได้เปิดตัวเป็นครั้งแรกในงานเจนีวา มอเตอร์โชว์ และถือเป็นรถไฮไลท์ของปอร์เช่ได้อย่างสมบูรณ์แบบ

โดยรูปลักษณ์ของบ็อกซเตอร์ ใหม่แตกต่างจากเดิมไม่ว่าจะเป็นระยะยื่นจากล้อถึงปลายกันชนที่สั้นลง ตัวรถที่ราบแบนยิ่งขึ้น กระจกหน้าที่มีมุมตั้งไปทางด้านหน้ามากขึ้น เช่นเดียวกับการยืดระยะฐานล้อที่ยาวขึ้น เพื่อประสิทธิภาพการควบคุมยึดเกาะถนนและคล่องตัว ขณะที่การออกแบบโครงสร้างใช้อลูมิเนียมเข้ามามีส่วนร่วมแทนเหล็กกล้า ตลอดจนแมกซีเนียมในส่วนของหลังคาด้านบน ส่งผลให้มีความแข็งแกร่งและลดน้ำหนักโดยรวมของตัวรถได้มากกว่าเดิม

จากตัวถังใหม่ที่เบาขึ้น ฐานล้อที่ยาวขึ้น ตัวรถที่กว้างขึ้นและมีล้อที่ใหญ่ขึ้น (รุ่นธรรมดาขอบ 18 นิ้ว/รุ่น เอส19 นิ้ว ติดตั้งมาเป็นขนาดมาตรฐาน และสามารถสั่งพิเศษเพิ่มได้เป็นขนาด 20 นิ้ว) อีกทั้งยังติดตั้งระบบพวงมาลัยพาวเวอร์ไฟฟ้า (electro-mechanical power steering) ส่งผลให้การขับขี่มีความคล่องตัวมากยิ่งขึ้น

ภายในห้องโดยสารได้รับการออกแบบใหม่หมดด้วยเช่นกัน รวมไปถึงหลังคาที่ควบคุมด้วยระบบไฟฟ้าทั้งหมดและมีน้ำหนักเบา แนวคิดภายในห้องโดยสารที่ได้รับการปรับเปลี่ยนใหม่นี้ ส่งผลให้ผู้โดยสารมีพื้นที่มากขึ้น อีกทั้งยังเสริมคอนโซลกลางรูปแบบใหม่ของปอร์เช่ที่ได้สานต่อเทคโนโลยีมาจากรุ่นคาร์เรร่า จีที (Carrera GT) เข้าไปเพื่อพัฒนาให้ภายในห้องโดยสารของรถนั้นถูกต้องตามหลักกลศาสตร์มากยิ่งขึ้น


สำหรับเครื่องยนต์ทั้งบ็อกซเตอร์ และบ็อกซเตอร์ เอส ทั้งสองรุ่นมาพร้อมกับเครื่องยนต์ 6 สูบ เรียงนอน พร้อมด้วยระบบฉีดน้ำมันเชื้อเพลิงโดยตรง (Direct Petrol injection) ระบบการดึงพลังงานกลับคืนหรือนำพลังงานในการเบรกกลับมาใช้ใหม่ (electrical system recuperation) ระบบการจัดการความร้อน (Thermal management system) และระบบสตาร์ท/หยุดอัตโนมัติ (Auto start stop function)

รุ่นธรรมดาจะมีพละกำลังสูงสุด 265 แรงม้า (195 กิโลวัตต์) ซึ่งมาจากเครื่องยนต์ขนาด 2.7 ลิตร และถือได้ว่ามากกว่ารุ่นเดิมถึง 10 แรงม้าเลยทีเดียว ส่วนอัตราเร่งจาก 0-100 กม./ชม. ทำได้ในระยะเวลา 5.7 วินาที และสำหรับรุ่น บ็อกซเตอร์ เอส มีขนาดเครื่องยนต์ที่ 3.4 ลิตร ให้พละกำลังสูงสุด 315 แรงม้า (232 กิโลวัตต์) มากกว่ารุ่นเดิม 5 แรงม้า อัตราเร่งจาก 0-100 กม./ชม. ทำได้ในระยะเวลา 5 วินาที ซึ่งทั้งสองรุ่นติดตั้งระบบส่งผ่านกำลังหรือระบบเกียร์ธรรมดา 6 จังหวะมาเป็นมาตรฐานให้กับรถ และพิเศษสามารถเลือกติดตั้งระบบเกียร์อัตโนมัติคลัทซ์คู่ 7 จังหวะอย่าง Porsche Doppelkupplungsgetriebe (PDK) เป็นอุปกรณ์เสริมได้อีกด้วย


โดยมีแพคเก็จ Sport Chrono Package เลือกติดตั้งเป็นอุปกรณ์เสริมได้ เพื่อเพิ่มความคล่องตัวในการขับขี่ให้มากยิ่งขึ้น และสามารถเลือกติดตั้งระบบควบคุมการกระจายแรงบิดไปยังแต่ละล้อเพื่อสมรรถนะในการเกาะถนน (Porsche Torque Vectoring (PTV)) ที่มาพร้อมกับระบบเฟืองท้ายทางเพลาหลังได้อีกด้วยเช่นกัน

ด้านอัตราการบริโภคน้ำมันเชื้อเพลิงต่ำลง 15% หรือมีอัตราการบริโภคน้ำมันเชื้อเพลิงต่ำกว่า 8 ลิตร/100 กิโลเมตร (ขึ้นอยู่กับรุ่น) ซึ่งหากติดตั้งระบบเกียร์ PDK จะอยู่ที่ 7.7 ลิตร/100 กิโลเมตร สำหรับรุ่นธรรมดา และ 8.0 ลิตร/100 กม. สำหรับรุ่น บ็อกซเตอร์ เอส

โดยเอเอเอสฯ เปิดราคาจำหน่ายบ็อกซเตอร์ และบ็อกซเตอร์ เอส สนนราคาเริ่มต้น 7.9-8.6 ล้านบาท พร้อมมีการรับประกันจากโรงงานปอร์เช่ประเทศเยอรมนีนาน 9 ปี หรือ Service Package นาน 4 ปี




กำลังโหลดความคิดเห็น