ข่าวในประเทศ-ไทยรุ่งยูเนี่ยนคาร์ สรุปผลการดำเนินงานไตรมาสแรก ปี 2555 มีรายได้รวมทั้งสิ้น 821.73 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิส่วนที่เป็นของผู้ถือหุ้นบริษัทใหญ่ 125.29 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 50.15 ล้านบาท คิดเป็น 67% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน
สมพงษ์ เผอิญโชค กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไทยรุ่งยูเนี่ยนคาร์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า สาเหตุที่ทำให้มีรายได้ และกำไรสุทธิเติบโตขึ้นมากนั้น เนื่องจากอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยที่เริ่มกลับเข้าสู่ภาวะปกติหลังจากเหตุการณ์น้ำท่วมในช่วงปลายปีก่อน ประกอบกับผลสำเร็จของบริษัทฯ ในการขยายงานชิ้นส่วน รับจ้างประกอบ และพ่นสี จากลูกค้าทั้งกลุ่มยานยนต์ เครื่องจักรอุตสาหกรรม และเครื่องจักรกลทางการเกษตร ซึ่งมีแนวโน้มการเจริญเติบโตเพิ่มขึ้น
ปัจจุบันรายได้จากงานชิ้นส่วน OEM และรับจ้างประกอบ พ่นสี คิดเป็น 80-85% ของรายได้รวมของบริษัท โดยมีรายละเอียดแบ่งออกเป็น รายได้จากธุรกิจแม่พิมพ์และชิ้นส่วน เพิ่มขึ้น 47%, รายได้จากธุรกิจรับจ้างประกอบ และพ่นสี เพิ่มขึ้น 24% และสำหรับธุรกิจรถอเนกประสงค์นั้น ยังคงชะลอตัวเนื่องจากบริษัทฯ เพิ่งเริ่มทยอยส่งมอบรถ TR Transformer ให้ลูกค้าในไตรมาสแรก ปี2555 แต่คาดว่าหลังจากนี้ไปจะสามารถส่งมอบรถให้ลูกค้าได้มากขึ้น
ในปี 2555 สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย คาดว่าประเทศไทยจะสามารถผลิตรถยนต์ได้สูงถึง 2-2.1 ล้านคัน โดยยอดขายรถในประเทศจะขยายตัวค่อนข้างมากจากนโยบายคืนเงินภาษีรถยนต์คันแรกของรัฐบาล ประกอบกับค่ายรถยนต์ต่าง ๆ มีการออกรถรุ่นใหม่สู่ตลาดจำนวนมาก โดยเฉพาะรถยนต์ขนาดเล็ก และรถอีโคคาร์ ซึ่งผู้บริโภคให้การตอบรับเป็นอย่างดี รวมถึงผู้ประกอบการต่างประเทศโดยเฉพาะญี่ปุ่น มีการย้ายฐานการลงทุนมายังประเทศไทยเพิ่มขึ้น เพื่อใช้ไทยเป็นฐานในการผลิตรถปิกอัพและอีโคคาร์ส่งออกทั่วโลก ดังนั้นจึงมีความเป็นไปได้สูงที่อุตสาหกรรมชิ้นส่วนยานยนต์ของไทยจะเติบโตขึ้นไปสู่ระดับการผลิต 2.5 ล้านคัน ในช่วง 2-3 ปีข้างหน้าตามที่สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยคาดการณ์ไว้ได้
สำหรับทิศทางในปี 2555 ของบริษัทฯ นั้น คาดว่าจะมีการเติบโตของรายได้ไม่น้อยกว่า 30-35% เนื่องจากโรงงานผลิตชิ้นส่วนแห่งใหม่ที่จังหวัดระยองได้เสร็จสมบูรณ์แล้ว และจะเริ่มผลิตเชิงพาณิชย์ตั้งแต่ไตรมาสที่ 2 เป็นต้นไป ซึ่งโรงงานใหม่นี้จะสามารถเพิ่มรายได้จากงานชิ้นส่วนให้บริษัทฯ ได้ประมาณ 600 ล้านบาทต่อปี (เมื่อผลิตเต็มกำลังการผลิต) และได้รับการส่งเสริมการลงทุนจาก BOI
นอกจากนี้บริษัทฯ ยังอยู่ระหว่างการขยายการลงทุนในด้านต่าง ๆ เพิ่มอีก เช่น การลงทุนติดตั้งเครื่องจักรผลิตชิ้นส่วนเพิ่มในโรงงานปัจจุบัน เพื่อเพิ่มกำลังการผลิตชิ้นส่วนทั้งโลหะและพลาสติก รองรับปริมาณงานที่เพิ่มสูงขึ้นของลูกค้า ตลอดจนการลงทุนในเครื่องจักรใหม่สำหรับงานแม่พิมพ์และอุปกรณ์จับยึด เพื่อเพิ่มกำลังการผลิต และยกระดับไปสู่เทคโนโลยีขั้นสูง ซึ่งจะเป็นการดึงดูงานชิ้นส่วนให้กับบริษัทเพิ่มมากขึ้น โดยใช้เงินลงทุน 205 ล้านบาท และขอรับการส่งเสริมการลงทุนจาก BOI
จากแผนการลงทุนที่เพิ่มขึ้นดังกล่าวข้างต้น ประกอบกับชื่อเสียงและศักยภาพในอุตสาหกรรมยานยนต์ที่ครบวงจรของบริษัท ทำให้บริษัทฯ มีโอกาสได้รับงานใหม่ๆ จากลูกค้าปัจจุบัน และลูกค้ารายใหม่เพิ่มขึ้น ดังนั้น บริษัทฯ จึงมั่นใจว่าผลการดำเนินงานของบริษัทจะสามารถบรรลุตามแผนงานที่วางไว้ได้ และมีแนวโน้มที่จะเจริญเติบโตอย่างต่อเนื่องในปี 2556 อีกเช่นกัน
สมพงษ์ เผอิญโชค กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไทยรุ่งยูเนี่ยนคาร์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า สาเหตุที่ทำให้มีรายได้ และกำไรสุทธิเติบโตขึ้นมากนั้น เนื่องจากอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยที่เริ่มกลับเข้าสู่ภาวะปกติหลังจากเหตุการณ์น้ำท่วมในช่วงปลายปีก่อน ประกอบกับผลสำเร็จของบริษัทฯ ในการขยายงานชิ้นส่วน รับจ้างประกอบ และพ่นสี จากลูกค้าทั้งกลุ่มยานยนต์ เครื่องจักรอุตสาหกรรม และเครื่องจักรกลทางการเกษตร ซึ่งมีแนวโน้มการเจริญเติบโตเพิ่มขึ้น
ปัจจุบันรายได้จากงานชิ้นส่วน OEM และรับจ้างประกอบ พ่นสี คิดเป็น 80-85% ของรายได้รวมของบริษัท โดยมีรายละเอียดแบ่งออกเป็น รายได้จากธุรกิจแม่พิมพ์และชิ้นส่วน เพิ่มขึ้น 47%, รายได้จากธุรกิจรับจ้างประกอบ และพ่นสี เพิ่มขึ้น 24% และสำหรับธุรกิจรถอเนกประสงค์นั้น ยังคงชะลอตัวเนื่องจากบริษัทฯ เพิ่งเริ่มทยอยส่งมอบรถ TR Transformer ให้ลูกค้าในไตรมาสแรก ปี2555 แต่คาดว่าหลังจากนี้ไปจะสามารถส่งมอบรถให้ลูกค้าได้มากขึ้น
ในปี 2555 สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย คาดว่าประเทศไทยจะสามารถผลิตรถยนต์ได้สูงถึง 2-2.1 ล้านคัน โดยยอดขายรถในประเทศจะขยายตัวค่อนข้างมากจากนโยบายคืนเงินภาษีรถยนต์คันแรกของรัฐบาล ประกอบกับค่ายรถยนต์ต่าง ๆ มีการออกรถรุ่นใหม่สู่ตลาดจำนวนมาก โดยเฉพาะรถยนต์ขนาดเล็ก และรถอีโคคาร์ ซึ่งผู้บริโภคให้การตอบรับเป็นอย่างดี รวมถึงผู้ประกอบการต่างประเทศโดยเฉพาะญี่ปุ่น มีการย้ายฐานการลงทุนมายังประเทศไทยเพิ่มขึ้น เพื่อใช้ไทยเป็นฐานในการผลิตรถปิกอัพและอีโคคาร์ส่งออกทั่วโลก ดังนั้นจึงมีความเป็นไปได้สูงที่อุตสาหกรรมชิ้นส่วนยานยนต์ของไทยจะเติบโตขึ้นไปสู่ระดับการผลิต 2.5 ล้านคัน ในช่วง 2-3 ปีข้างหน้าตามที่สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยคาดการณ์ไว้ได้
สำหรับทิศทางในปี 2555 ของบริษัทฯ นั้น คาดว่าจะมีการเติบโตของรายได้ไม่น้อยกว่า 30-35% เนื่องจากโรงงานผลิตชิ้นส่วนแห่งใหม่ที่จังหวัดระยองได้เสร็จสมบูรณ์แล้ว และจะเริ่มผลิตเชิงพาณิชย์ตั้งแต่ไตรมาสที่ 2 เป็นต้นไป ซึ่งโรงงานใหม่นี้จะสามารถเพิ่มรายได้จากงานชิ้นส่วนให้บริษัทฯ ได้ประมาณ 600 ล้านบาทต่อปี (เมื่อผลิตเต็มกำลังการผลิต) และได้รับการส่งเสริมการลงทุนจาก BOI
นอกจากนี้บริษัทฯ ยังอยู่ระหว่างการขยายการลงทุนในด้านต่าง ๆ เพิ่มอีก เช่น การลงทุนติดตั้งเครื่องจักรผลิตชิ้นส่วนเพิ่มในโรงงานปัจจุบัน เพื่อเพิ่มกำลังการผลิตชิ้นส่วนทั้งโลหะและพลาสติก รองรับปริมาณงานที่เพิ่มสูงขึ้นของลูกค้า ตลอดจนการลงทุนในเครื่องจักรใหม่สำหรับงานแม่พิมพ์และอุปกรณ์จับยึด เพื่อเพิ่มกำลังการผลิต และยกระดับไปสู่เทคโนโลยีขั้นสูง ซึ่งจะเป็นการดึงดูงานชิ้นส่วนให้กับบริษัทเพิ่มมากขึ้น โดยใช้เงินลงทุน 205 ล้านบาท และขอรับการส่งเสริมการลงทุนจาก BOI
จากแผนการลงทุนที่เพิ่มขึ้นดังกล่าวข้างต้น ประกอบกับชื่อเสียงและศักยภาพในอุตสาหกรรมยานยนต์ที่ครบวงจรของบริษัท ทำให้บริษัทฯ มีโอกาสได้รับงานใหม่ๆ จากลูกค้าปัจจุบัน และลูกค้ารายใหม่เพิ่มขึ้น ดังนั้น บริษัทฯ จึงมั่นใจว่าผลการดำเนินงานของบริษัทจะสามารถบรรลุตามแผนงานที่วางไว้ได้ และมีแนวโน้มที่จะเจริญเติบโตอย่างต่อเนื่องในปี 2556 อีกเช่นกัน