กลายเป็นธรรมเนียมปฏิบัติ สำหรับค่ายรถยนต์หลังการเปิดตัวปิกอัพรุ่นใหม่และให้ผู้สื่อข่าวได้ลองขับในแบบ “ออนโรด”เสร็จแล้ว จากนั้นจะตามด้วยการโชว์ศักยภาพการขับขี่แบบ“ออฟโรด” ซึ่งถือเป็นภาพลักษณ์สำคัญด้านหนึ่งของปิกอัพ
เชฟโรเลต โคโลราโด ใหม่ เดินตามแนวทางนี้ครับ ล่าสุดไปเปิดป่าแถวอำเภอบ้านไร่ จังหวัดอุทัยธานี (ชายป่าห้วยขาแข้ง)ให้ผู้สื่อข่าวได้ทดสอบเส้นทางออฟโรดเต็มรูปแบบ โดยทั้งหมดเป็นรุ่นขับเคลื่อนสี่ล้อ ตัวถังตอนครึ่งแคบเปิดได้ที่เชฟโรเลตเรียกว่า “เอ็กซ์-แค็บ” (X-Cab) พร้อมเครื่องยนต์ดีเซล 2.5 และ 2.8 ลิตร
“ASTVผู้จัดการมอเตอริ่ง” ได้ลองขับรุ่น 2.5L 4WD X-Cab LT เกียร์ธรรมดา ราคา 730,000 บาท ซึ่งถือเป็นรุ่นประหยัด ออปชันจัดสำหรับใช้งานจริง แต่กระนั้นก็พร้อมลุยพอตัว
สำหรับเส้นทางออฟโรดที่เชฟโรเลตจัดไว้รองรับสมรรถนะของโคโลราโด รุ่นขับเคลื่อน 4 ล้อนั้น มีระยะทางประมาณ 15 กิโลเมตร อุปสรรคสลับกันทั้ง ทางลูกรัง ทางหิน ดินโคลน ห้วยน้ำ และเนินชันระดับ 30-40 องศา ต้องไต่ขึ้น-ปีนลงกันอยู่ประมาณ 2 ชั่วโมง
สำหรับเส้นทางนี้ขับเหนื่อยพอสมควร แต่จริงๆก็ไม่ได้โหดมากมาย ดังนั้นพาหนะของผู้เขียนที่เป็นแค่รุ่นเครื่องยนต์ดีเซล 2.5 ลิตร สามารถลุยผ่านได้สบาย เรียกว่ายังไม่ต้องถึงมือของรุ่นเครื่องยนต์ 2.8 ลิตร 470 นิวตันเมตรหรอกครับ
โดยขุมพลัง ดีเซล คอมมอนเรล 2.5 ลิตร เทอร์โบ อินเตอร์คูลเลอร์ ให้กำลังสูงสุด150 แรงม้า ที่ 3,800 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 350 นิวตันเมตร ที่ 2,000 รอบต่อนาที ประกบเกียร์ธรรมดา 5 สปีด พร้อม“ลิมิเต็ด สลิป” เพียงเท่านี้ “เอาอยู่”
...รถออกตัวดี ดูมีพละกำลังฉุดดึง ผู้เขียนเห็นอัตราทดเฟืองท้ายที่เซ็ทไว้จัดถึง 4.1 จึงเชื่อว่าถ้าใช้งานไต่ดอยขึ้นเขาพร้อมโหลดบรรทุก โคโลราโดรุ่นเครื่องยนต์ 2.5 ลิตรไม่น่าจะทำให้ผิดหวัง ขณะเดียวกันการบุกป่าอย่างทริปนี้ ยังดูอึดสมบุกสมบัน
ยิ่งมีปุ่มควบคุมระบบขับเคลื่อนแบบไฟฟ้า หรือเดิมเรียกกันติดปากว่า “ชิฟท์ ออน เดอะ ฟลาย” โดย “เชฟวี่ โคโลราโด ใหม่” นี้สามารถเปลี่ยนจาก 2Hi เป็น 4 Hi ด้วยการหมุนปุ่มตรงคอนโซลกลาง(ใกล้คันเกียร์)ได้ทันที บนความเร็วไม่เกิน 100 กม./ชม. ส่วนการเปลี่ยนเป็นโหมดปีนป่ายเต็มขั้น ต้องจอดนิ่งๆเข้าเกียร์ว่าง (N) แล้วค่อยบิดปุ่มไปที่ 4 Low เหมือนเดิม
อย่างไรก็ตามหลังการสั่งงาน(หมุน)แล้ว จะไม่มีสัญลักษณ์สถานะของระบบขับเคลื่อน แสดงที่หน้าปัดด้านคนขับ แต่จะมีแสงไฟแสดงให้เห็นสถานะอยู่บนปุ่มดังกล่าวเท่านั้น ตรงนี้แล้วแต่ความชอบและความเคยชินครับ
การขับแบบทางแคบๆในป่าช่วงทางลาดแต่ไม่เรียบ ใช้ความเร็ว 20 กม./ชม. วิ่งเกียร์สอง พร้อมระบบขับเคลื่อนแบบ4 Hi ก็ขับไปได้เรื่อยๆ แต่ช่วงเจอทางชัน พื้นด้านล่างเป็นหินก้อนโตก็ต้อง 4 Low ครับ เล็งหินดูไลน์ให้ดีว่าจะคร่อมหรือจะปีน โดยผู้เขียนเลือกใช้เกียร์หนึ่ง เลี้ยงรอบอยู่แถวๆ 2,000 ค่อยๆคืบคลานผ่านฉลุย
สำหรับโครงสร้างแชสซีส์ใหม่ ที่เชฟโรเลตคุยว่า ใหญ่-แกร่ง ทนแรงบิดตัวเป็นเยี่ยม เมื่อบวกช่วงล่างแบบปีกนกสองชั้นด้านหน้า และหลังแหนบแผ่นซ้อนพร้อมโช้กอัพ ที่ออกแบบให้รองรับกันอย่างลงตัว ซึ่งการขับบนทางดำถนนดี ผู้เขียนรู้สึกถึงความนุ่มนวล ไม่กระด้างเด้ง ส่วนการเข้ามาลุยทางฝุ่นหรือปีนป่ายทางขุรขระ ก็ยังขับขี่สบายพอสมควร
ด้วยระยะต่ำสุดจากพื้น 261 มิลลิเมตร แถมไม่มีบันไดข้างให้กังวล การขับผ่านห้วยน้ำ และปีนร่องดินลึกๆได้มั่นใจ แม้อาการของรถโยกเด้งตามสภาพ แต่พวงมาลัยที่มีระยะฟรีเหลืออยู่นิดๆ ผ่อนแรงดีดกลับมาน้อยทำให้การขับไม่เครียด
ในส่วนของเกียร์ธรรมดานั้น การเปลี่ยนเกียร์ทำได้นุ่มนวลและโยกง่ายกว่าพวก 6 สปีดของ “ฟอร์ด เรนเจอร์” “มาสด้า บีที-50” เยอะ แต่จะเสียตรงแป้นคลัทซ์ มีน้ำหนักพอสมควร ทำให้ผู้ขับต้องใช้แรงกดเยอะ
หลังจากลุยป่า15 กิโลเมตร ในเวลา 2 ชั่วโมง จากระยะทางไปกลับรวม 400 กิโลเมตร จากอิมแพค เมืองทองธานี-อุทัยธานี ขับกันตั้งแต่เช้ายันมืด สรุปผู้เขียนและผู้โดยสารที่นั่งมาด้วย ไม่รู้สึกปวดตัว และเหนื่อยเพลียมากนัก ซึ่งน่าจะพิสูจน์ความเป็นปิกอัพพันธุ์อึด ที่มาพร้อมความสะดวกสบายภายในห้องโดยสารได้ระดับหนึ่ง
รวบรัดตัดความ...การทดสอบทริปนี้แสดงให้เห็นสมรรถนะของ“เชฟโรเลต โคโลราโด” บนเส้นทางออฟโรด ยิ่งรุ่นของผู้เขียนเป็นเครื่องยนต์ 2.5 ลิตร เกียร์ธรรมดา แต่พลังยังเหลือใช้ ช่วงล่างทนแกร่งพร้อมบุกตะลุย แต่กระนั้นถ้าใครหวังจะซื้อมาลุยแบบสุดโหดจริงๆ เพิ่มเงินอีกสัก 43,000 บาท ได้เครื่องยนต์ 2.8 ลิตร 470 นิวตันเมตร เกรด LT ที่ไม่เน้นออปชัน (ไม่มีเทรคชันคอนโทรล และระบบควบคุมการทรงตัว ESP ซึ่งเป็นระบบที่เหมาะกับการขับบนถนนดี) น่าจะสมกับเจ้าแห่งป่า ราชาแห่งออฟโรดทั้งหลาย
เชฟโรเลต โคโลราโด ใหม่ เดินตามแนวทางนี้ครับ ล่าสุดไปเปิดป่าแถวอำเภอบ้านไร่ จังหวัดอุทัยธานี (ชายป่าห้วยขาแข้ง)ให้ผู้สื่อข่าวได้ทดสอบเส้นทางออฟโรดเต็มรูปแบบ โดยทั้งหมดเป็นรุ่นขับเคลื่อนสี่ล้อ ตัวถังตอนครึ่งแคบเปิดได้ที่เชฟโรเลตเรียกว่า “เอ็กซ์-แค็บ” (X-Cab) พร้อมเครื่องยนต์ดีเซล 2.5 และ 2.8 ลิตร
“ASTVผู้จัดการมอเตอริ่ง” ได้ลองขับรุ่น 2.5L 4WD X-Cab LT เกียร์ธรรมดา ราคา 730,000 บาท ซึ่งถือเป็นรุ่นประหยัด ออปชันจัดสำหรับใช้งานจริง แต่กระนั้นก็พร้อมลุยพอตัว
สำหรับเส้นทางออฟโรดที่เชฟโรเลตจัดไว้รองรับสมรรถนะของโคโลราโด รุ่นขับเคลื่อน 4 ล้อนั้น มีระยะทางประมาณ 15 กิโลเมตร อุปสรรคสลับกันทั้ง ทางลูกรัง ทางหิน ดินโคลน ห้วยน้ำ และเนินชันระดับ 30-40 องศา ต้องไต่ขึ้น-ปีนลงกันอยู่ประมาณ 2 ชั่วโมง
สำหรับเส้นทางนี้ขับเหนื่อยพอสมควร แต่จริงๆก็ไม่ได้โหดมากมาย ดังนั้นพาหนะของผู้เขียนที่เป็นแค่รุ่นเครื่องยนต์ดีเซล 2.5 ลิตร สามารถลุยผ่านได้สบาย เรียกว่ายังไม่ต้องถึงมือของรุ่นเครื่องยนต์ 2.8 ลิตร 470 นิวตันเมตรหรอกครับ
โดยขุมพลัง ดีเซล คอมมอนเรล 2.5 ลิตร เทอร์โบ อินเตอร์คูลเลอร์ ให้กำลังสูงสุด150 แรงม้า ที่ 3,800 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 350 นิวตันเมตร ที่ 2,000 รอบต่อนาที ประกบเกียร์ธรรมดา 5 สปีด พร้อม“ลิมิเต็ด สลิป” เพียงเท่านี้ “เอาอยู่”
...รถออกตัวดี ดูมีพละกำลังฉุดดึง ผู้เขียนเห็นอัตราทดเฟืองท้ายที่เซ็ทไว้จัดถึง 4.1 จึงเชื่อว่าถ้าใช้งานไต่ดอยขึ้นเขาพร้อมโหลดบรรทุก โคโลราโดรุ่นเครื่องยนต์ 2.5 ลิตรไม่น่าจะทำให้ผิดหวัง ขณะเดียวกันการบุกป่าอย่างทริปนี้ ยังดูอึดสมบุกสมบัน
ยิ่งมีปุ่มควบคุมระบบขับเคลื่อนแบบไฟฟ้า หรือเดิมเรียกกันติดปากว่า “ชิฟท์ ออน เดอะ ฟลาย” โดย “เชฟวี่ โคโลราโด ใหม่” นี้สามารถเปลี่ยนจาก 2Hi เป็น 4 Hi ด้วยการหมุนปุ่มตรงคอนโซลกลาง(ใกล้คันเกียร์)ได้ทันที บนความเร็วไม่เกิน 100 กม./ชม. ส่วนการเปลี่ยนเป็นโหมดปีนป่ายเต็มขั้น ต้องจอดนิ่งๆเข้าเกียร์ว่าง (N) แล้วค่อยบิดปุ่มไปที่ 4 Low เหมือนเดิม
อย่างไรก็ตามหลังการสั่งงาน(หมุน)แล้ว จะไม่มีสัญลักษณ์สถานะของระบบขับเคลื่อน แสดงที่หน้าปัดด้านคนขับ แต่จะมีแสงไฟแสดงให้เห็นสถานะอยู่บนปุ่มดังกล่าวเท่านั้น ตรงนี้แล้วแต่ความชอบและความเคยชินครับ
การขับแบบทางแคบๆในป่าช่วงทางลาดแต่ไม่เรียบ ใช้ความเร็ว 20 กม./ชม. วิ่งเกียร์สอง พร้อมระบบขับเคลื่อนแบบ4 Hi ก็ขับไปได้เรื่อยๆ แต่ช่วงเจอทางชัน พื้นด้านล่างเป็นหินก้อนโตก็ต้อง 4 Low ครับ เล็งหินดูไลน์ให้ดีว่าจะคร่อมหรือจะปีน โดยผู้เขียนเลือกใช้เกียร์หนึ่ง เลี้ยงรอบอยู่แถวๆ 2,000 ค่อยๆคืบคลานผ่านฉลุย
สำหรับโครงสร้างแชสซีส์ใหม่ ที่เชฟโรเลตคุยว่า ใหญ่-แกร่ง ทนแรงบิดตัวเป็นเยี่ยม เมื่อบวกช่วงล่างแบบปีกนกสองชั้นด้านหน้า และหลังแหนบแผ่นซ้อนพร้อมโช้กอัพ ที่ออกแบบให้รองรับกันอย่างลงตัว ซึ่งการขับบนทางดำถนนดี ผู้เขียนรู้สึกถึงความนุ่มนวล ไม่กระด้างเด้ง ส่วนการเข้ามาลุยทางฝุ่นหรือปีนป่ายทางขุรขระ ก็ยังขับขี่สบายพอสมควร
ด้วยระยะต่ำสุดจากพื้น 261 มิลลิเมตร แถมไม่มีบันไดข้างให้กังวล การขับผ่านห้วยน้ำ และปีนร่องดินลึกๆได้มั่นใจ แม้อาการของรถโยกเด้งตามสภาพ แต่พวงมาลัยที่มีระยะฟรีเหลืออยู่นิดๆ ผ่อนแรงดีดกลับมาน้อยทำให้การขับไม่เครียด
ในส่วนของเกียร์ธรรมดานั้น การเปลี่ยนเกียร์ทำได้นุ่มนวลและโยกง่ายกว่าพวก 6 สปีดของ “ฟอร์ด เรนเจอร์” “มาสด้า บีที-50” เยอะ แต่จะเสียตรงแป้นคลัทซ์ มีน้ำหนักพอสมควร ทำให้ผู้ขับต้องใช้แรงกดเยอะ
หลังจากลุยป่า15 กิโลเมตร ในเวลา 2 ชั่วโมง จากระยะทางไปกลับรวม 400 กิโลเมตร จากอิมแพค เมืองทองธานี-อุทัยธานี ขับกันตั้งแต่เช้ายันมืด สรุปผู้เขียนและผู้โดยสารที่นั่งมาด้วย ไม่รู้สึกปวดตัว และเหนื่อยเพลียมากนัก ซึ่งน่าจะพิสูจน์ความเป็นปิกอัพพันธุ์อึด ที่มาพร้อมความสะดวกสบายภายในห้องโดยสารได้ระดับหนึ่ง
รวบรัดตัดความ...การทดสอบทริปนี้แสดงให้เห็นสมรรถนะของ“เชฟโรเลต โคโลราโด” บนเส้นทางออฟโรด ยิ่งรุ่นของผู้เขียนเป็นเครื่องยนต์ 2.5 ลิตร เกียร์ธรรมดา แต่พลังยังเหลือใช้ ช่วงล่างทนแกร่งพร้อมบุกตะลุย แต่กระนั้นถ้าใครหวังจะซื้อมาลุยแบบสุดโหดจริงๆ เพิ่มเงินอีกสัก 43,000 บาท ได้เครื่องยนต์ 2.8 ลิตร 470 นิวตันเมตร เกรด LT ที่ไม่เน้นออปชัน (ไม่มีเทรคชันคอนโทรล และระบบควบคุมการทรงตัว ESP ซึ่งเป็นระบบที่เหมาะกับการขับบนถนนดี) น่าจะสมกับเจ้าแห่งป่า ราชาแห่งออฟโรดทั้งหลาย