สำหรับคอออฟโรดที่ชอบเอสยูวีร่างใหญ่ เครื่องยนต์ซีซีเยอะ งานนี้ไม่น่าพลาด เมื่อโตโยต้าเผยโฉมใหม่ในแบบปรับโฉม หรือไมเนอร์เชนจ์ของ Tog of the line ของตระกูลเอสยูวีอย่างแลนด์ครูสเซอร์ในรหัส 200 Series ออกมาแล้ว เพิ่มความสดใหม่ให้กับรูปลักษณ์รอบคัน พร้อมพลังขับเคลื่อนจากเครื่องยนต์วี8 5,700 ซีซี
งานนี้เรียกว่าค่อนข้างมีความพิเศษสักหน่อย เพราะในรุ่นปรับโฉมนี้ถือว่าเป็นการเฉลิมฉลอง 60 ปีในการทำตลาดของแลนด์ครูสเซอร์ในญี่ปุ่น (ส่วนสหรัฐอเมริกามีขายมานานถึง 50 ปี) ซึ่งความจริงแล้วในตลาดญี่ปุ่น ที่เป็นเวอร์ชัน JDM มีการปรับโฉมเมื่อปลายเดือนธันวาคมที่ผ่านมา ส่วนที่เห็นอยู่นี้เป็นเวอร์ชันสำหรับขายในเมืองลุงแซม และตลาดแห่งอื่นๆ อีก 188 แห่งทั่วโลกที่โตโยต้าส่งแลนด์ครูสเซอร์เข้าไปกวาดตัวเลขยอดขาย
ในแง่ของการปรับโฉมนั้น สังเกตได้ตั้งแต่ด้านหน้า เพราะว่ามีการติดตั้งไฟแบบ Daytime Running Light ซึ่งในปัจจุบันเป็นอุปกรณ์มาตรฐานสำหรับรถยนต์รุ่นใหม่ๆ กันไปแล้ว ขณะที่กระจังหน้า กันชนหน้าและกระจกมองข้าง ก็ได้รับการออกแบบใหม่ เพื่อความสวยสะดุดตา ส่วนด้านท้าย จุดหลักของการเปลี่ยนแปลงอยู่ที่กันชนท้าย ส่วนไฟท้ายยังเป็นทรงเดิม แต่มีการปรับรายละเอียดของการติดตั้งไฟสัญญาณต่างๆ ใหม่
สิ่งที่ถือว่าเป็นไฮไลต์สำหรับการปรับโฉมในครั้งนี้คื รายละเอียดที่อยู่ภายใน เพราะนอกจากแลนด์ครูสเซอร์จะสามารถรองรับผู้ขับและผู้โดยสารรวม 8 ที่นั่งแล้ว (แต่ก็มีรุ่นแบบ 5 และ 7 ที่นั่งวางขายด้วย) ตัวรถยังมีการติดตั้งฟีเจอร์ใหม่ๆ มากมาย เช่น แผงหน้าจอ MID หรือ Multi-Information Display ที่ได้รับการออกแบบใหม่ พร้อมกับติดตั้งไฟสัญญาณแสดงลักษณะการขับเมื่ออยู่ในเงื่อนไขของ Eco Driving, ที่วงพวงมาลัยติดตั้งระบบอุ่นมือเอาไว้ด้วย, ระบบครูสคอนโทรลแบบปรับความเร็วให้สัมพันธ์กับสภาพถนน หรือ Dynamic Radar Cruise Control
อีกสิ่งหนึ่งก็คือ หน้าจอแสดงระดับของตัวรถเวลาลุยทางออฟโรด หรือ Multi-terrain Monitor ซึ่งจะแสดงผลความเอียงและลักษณะของตัวรถทั้งด้านหน้าตรง ด้านหลังตรง และทางด้านข้าง โดยจะทำงานร่วมกับระบบเลือกโหมดการขับเคลื่อน 4 ล้อ หรือ Multi-terrain Select system โดยจะเป็นปุ่มเลือกติดตั้งบริเวณฐานคันเกียร์
เครื่องยนต์ที่ทำตลาดมีแบบเดียวเป็นบล็อกเบนซินวี8 ทวินแคม 48 วาล์ว 5,700 ซีซี พร้อมระบบวาล์วแปรผัน มีกำลังสูงสุด 381 แรงม้า ที่ 5,600 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 55.3 กก.-ม. จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ 6 จังหวะในการถ่ายทอดกำลังสู่ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อตลอดเวลาที่มีการกระจายกำลังหน้า-หลังในอัตราส่วน 40:60%
ในส่วนของการขับเคลื่อน 4 ล้อนั้น ทางโตโยต้ามีการปรับอัตราทดเกียร์โดยใช้อัตราทดต่ำในระดับ2.618 : 1 เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการลุยวิบาก แถมยังมีโหมด CRAWL Control รับหน้าที่ในการช่วยปรับอัตราทดให้สัมพันธ์กับสภาพเส้นทาง โดยสามารถปรับการกระจายแรงบิดจากห้องเกียร์ไปยังล้อขับเคลื่อนทั้ง 4 ในถึง 5 ระดับด้วยกัน
สำหรับระบบกันสะเทือนเป็นแบบปีกนก 2 ชั้นที่ได้รับการออกแบบให้มีจุดยึดอยู่ในระดับที่สูงเพื่อประสิทธิภาพในการลุยวิบาก ซึ่งนั่นทำให้ตัวรถมีมุมไต่ หรือ Approach Angle อยู่ที่ 30 องศา และมุมจากหรือ Departure Angle อยู่ที่ 20 องศา แถมด้วยการติดตั้งระบบ Kinetic Dynamic Suspension System (KDSS) สามารถปรับระดับของช่วงล่างให้สอดคล้องกับสภาพการขับขี่ ตอบสนองทั้งความนุ่มนวลและการยึดเกาะเวลาอยู่บนออนโรด และให้ความมั่นใจในการลุยวิบากเมื่ออยู่บนเส้นทางออฟโรด
แม้ตลาดญี่ปุ่นจะมีวางขายแล้ว แต่สำหรับต่างแดนยังต้องรออีกสักระยะ เพราะว่าโตโยต้าจะเปิดตัวแลนด์ครูสเซอร์ ไมเนอร์เชนจ์ในงานดีทรอยต์ มอเตอร์โชว์ 2012 และจากนั้นก็จะเริ่มทยอยทำตลาดตามภูมิภาคทั่วโลกนับจากเดือนมีนาคมนี้เป็นต้นไป
งานนี้เรียกว่าค่อนข้างมีความพิเศษสักหน่อย เพราะในรุ่นปรับโฉมนี้ถือว่าเป็นการเฉลิมฉลอง 60 ปีในการทำตลาดของแลนด์ครูสเซอร์ในญี่ปุ่น (ส่วนสหรัฐอเมริกามีขายมานานถึง 50 ปี) ซึ่งความจริงแล้วในตลาดญี่ปุ่น ที่เป็นเวอร์ชัน JDM มีการปรับโฉมเมื่อปลายเดือนธันวาคมที่ผ่านมา ส่วนที่เห็นอยู่นี้เป็นเวอร์ชันสำหรับขายในเมืองลุงแซม และตลาดแห่งอื่นๆ อีก 188 แห่งทั่วโลกที่โตโยต้าส่งแลนด์ครูสเซอร์เข้าไปกวาดตัวเลขยอดขาย
ในแง่ของการปรับโฉมนั้น สังเกตได้ตั้งแต่ด้านหน้า เพราะว่ามีการติดตั้งไฟแบบ Daytime Running Light ซึ่งในปัจจุบันเป็นอุปกรณ์มาตรฐานสำหรับรถยนต์รุ่นใหม่ๆ กันไปแล้ว ขณะที่กระจังหน้า กันชนหน้าและกระจกมองข้าง ก็ได้รับการออกแบบใหม่ เพื่อความสวยสะดุดตา ส่วนด้านท้าย จุดหลักของการเปลี่ยนแปลงอยู่ที่กันชนท้าย ส่วนไฟท้ายยังเป็นทรงเดิม แต่มีการปรับรายละเอียดของการติดตั้งไฟสัญญาณต่างๆ ใหม่
สิ่งที่ถือว่าเป็นไฮไลต์สำหรับการปรับโฉมในครั้งนี้คื รายละเอียดที่อยู่ภายใน เพราะนอกจากแลนด์ครูสเซอร์จะสามารถรองรับผู้ขับและผู้โดยสารรวม 8 ที่นั่งแล้ว (แต่ก็มีรุ่นแบบ 5 และ 7 ที่นั่งวางขายด้วย) ตัวรถยังมีการติดตั้งฟีเจอร์ใหม่ๆ มากมาย เช่น แผงหน้าจอ MID หรือ Multi-Information Display ที่ได้รับการออกแบบใหม่ พร้อมกับติดตั้งไฟสัญญาณแสดงลักษณะการขับเมื่ออยู่ในเงื่อนไขของ Eco Driving, ที่วงพวงมาลัยติดตั้งระบบอุ่นมือเอาไว้ด้วย, ระบบครูสคอนโทรลแบบปรับความเร็วให้สัมพันธ์กับสภาพถนน หรือ Dynamic Radar Cruise Control
อีกสิ่งหนึ่งก็คือ หน้าจอแสดงระดับของตัวรถเวลาลุยทางออฟโรด หรือ Multi-terrain Monitor ซึ่งจะแสดงผลความเอียงและลักษณะของตัวรถทั้งด้านหน้าตรง ด้านหลังตรง และทางด้านข้าง โดยจะทำงานร่วมกับระบบเลือกโหมดการขับเคลื่อน 4 ล้อ หรือ Multi-terrain Select system โดยจะเป็นปุ่มเลือกติดตั้งบริเวณฐานคันเกียร์
เครื่องยนต์ที่ทำตลาดมีแบบเดียวเป็นบล็อกเบนซินวี8 ทวินแคม 48 วาล์ว 5,700 ซีซี พร้อมระบบวาล์วแปรผัน มีกำลังสูงสุด 381 แรงม้า ที่ 5,600 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 55.3 กก.-ม. จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ 6 จังหวะในการถ่ายทอดกำลังสู่ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อตลอดเวลาที่มีการกระจายกำลังหน้า-หลังในอัตราส่วน 40:60%
ในส่วนของการขับเคลื่อน 4 ล้อนั้น ทางโตโยต้ามีการปรับอัตราทดเกียร์โดยใช้อัตราทดต่ำในระดับ2.618 : 1 เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการลุยวิบาก แถมยังมีโหมด CRAWL Control รับหน้าที่ในการช่วยปรับอัตราทดให้สัมพันธ์กับสภาพเส้นทาง โดยสามารถปรับการกระจายแรงบิดจากห้องเกียร์ไปยังล้อขับเคลื่อนทั้ง 4 ในถึง 5 ระดับด้วยกัน
สำหรับระบบกันสะเทือนเป็นแบบปีกนก 2 ชั้นที่ได้รับการออกแบบให้มีจุดยึดอยู่ในระดับที่สูงเพื่อประสิทธิภาพในการลุยวิบาก ซึ่งนั่นทำให้ตัวรถมีมุมไต่ หรือ Approach Angle อยู่ที่ 30 องศา และมุมจากหรือ Departure Angle อยู่ที่ 20 องศา แถมด้วยการติดตั้งระบบ Kinetic Dynamic Suspension System (KDSS) สามารถปรับระดับของช่วงล่างให้สอดคล้องกับสภาพการขับขี่ ตอบสนองทั้งความนุ่มนวลและการยึดเกาะเวลาอยู่บนออนโรด และให้ความมั่นใจในการลุยวิบากเมื่ออยู่บนเส้นทางออฟโรด
แม้ตลาดญี่ปุ่นจะมีวางขายแล้ว แต่สำหรับต่างแดนยังต้องรออีกสักระยะ เพราะว่าโตโยต้าจะเปิดตัวแลนด์ครูสเซอร์ ไมเนอร์เชนจ์ในงานดีทรอยต์ มอเตอร์โชว์ 2012 และจากนั้นก็จะเริ่มทยอยทำตลาดตามภูมิภาคทั่วโลกนับจากเดือนมีนาคมนี้เป็นต้นไป