ถ้าให้นึกถึงรถสปอร์ตเปิดประทุนของบีเอ็มดับเบิลยูที่สวยและคลาสสิค แน่นอนว่าชื่อของ 507 โรดสเตอร์ที่ทำตลาดในช่วงสั้นๆ เพียง 3 ปีระหว่าง 1956-1959 น่าจะต้องติดอยู่ในลิสต์ด้วย เพราะนี่คอรถสปอร์ตรุ่นหนึ่งของค่ายใบพัดสีฟ้าที่ได้รับการยอมรับว่ามีสวยสะดุดตาและโดดเด่นที่สุดรุ่นหนึ่งเลยทีเดียว
จุดกำเนิดรถสปอร์ตเปิดประทุนรุ่นนี้เกิดขึ้นในปี 1954 เมื่อ Max Hoffman ผู้นำเข้ารถยนต์เข้าไปขายในสหรัฐอเมริกาได้ให้คำแนะนำกับทางบีเอ็มดับเบิลยูว่า ควรจะผลิตรถสปอร์ตเปิดประทุนขึ้นมาสักคันโดยอิงพื้นฐานทางวิศวกรรมจากรถยนต์รุ่น 501 และ 502 เพื่อแทรกกลางระหว่างรุ่น 300SL ของเมอร์เซเดส-เบนซ์ที่มีราคาแพง กับไทรอัมพ์ และเอ็มจี โดยทาง Hoffman และบีเอ็มดับเบิลยูได้ร่วมมือกันสร้างสรรค์ความสปอร์ตรุ่นนี้ขึ้นมา
ในตอนแรกตัวรถได้รับการออกแบบโดย Ernst Loof แต่ก็ไม่ได้รับการเห็นชอบจาก Hoffman ซึ่งในที่สุดทางบีเอ็มดับเบิลยูก็เปลี่ยนมาใช้บริการของ Albrecht von Goertz ซึ่งเคยฝากผลงานเอาไว้กับรุ่น 503 ขณะที่ Fritz Fiedler รับหน้าที่ดูแลงานด้านวิศวกรรม และพยายามลดต้นทุนด้วยการใช้ชิ้นส่วนร่วมกับรถยนต์รุ่นอื่นๆ ของค่ายใบพัดสีฟ้าให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้
ในปี 1955 บีเอ็มดับเบิลยูนำ 507 เปิดตัวครั้งแรกที่งานแฟรงค์เฟิร์ต มอเตอร์โชว์ และเริ่มวางขายในเดือนกันยายนปีต่อมา โดยในตอนแรกทาง Hoffman คิดว่าราคาของ 507 น่าจะเพียงแค่ 5,000 เหรียญสหรัฐในยุคนั้น และถ้าราคานี้เขาหวังว่าจะได้รับความนิยมอย่างมากจนมียอดขายไม่ต่ำกว่า 5,000 คันต่อปี แต่สุดท้ายแล้ว ด้วยเหตุที่ต้นทุนในการผลิตที่สูงขึ้น ก็เลยทำให้ 507 เปิดตัวที่ราคา 9,000-10,500 เหรียญสหรัฐ หรือแพงกว่าที่คาดถึงเท่าตัว
ผลก็คือ ตัวรถไม่ได้รับการตอบรับที่ดีเท่าที่ควร เพราะมียอดขายเพียง 252 คันเท่านั้นบวกกับต้นแบบอีก 2 คันตลอด 3 ปีที่ทำตลาด และที่สำคัญแทนที่จะมีส่วนในการช่วยพลิกฟื้นภาพลักษณ์ความสปอร์ตของบีเอ็มดับเบิลยูให้กลับคืนมาก็กลายเป็นว่ากลับนำพาบีเอ็มดับเบิลยูไปยืนอยู่ปากเหว และเสี่ยงต่อการล้มละลาย โดยในปี 1959 ซึ่งเป็นปีสุดท้ายของการผลิตเพราะเหตุผลด้านการเงินบังคับนั้น บีเอ็มดับเบิลยูประสบปัญหาขาดทุนในการดำเนินกิจการถึง 15 ล้านดอยช์มาร์ค
แต่สุดท้ายแล้วค่ายใบพัดสีฟ้ารอดพ้นจากปัญหาได้ด้วยการช่วยเหลือทางด้านการเงินของ Herbert Quandt ด้วยการมอบเงินสำหรับพัฒนารถยนต์ราคาถูกอย่างรุ่น 700, Isetta และ 1500 ออกมาสู่ตลาด พร้อมกับได้รับการตอบรับที่ดีจากลูกค้า
507 เป็นโรดสเตอร์ 2 ที่นั่งซึ่งมาพร้อมกับตัวถังขนาด 4,835 มิลลิเมตร และแชร์พื้นฐานจากรุ่น 503 โดยมีการลดระยะฐานล้อจาก 2,835 มาเป็น 2,479 มิลลิเมตร พร้อมน้ำหนักตัวในระดับ 1,485 กิโลกรัม แม้ว่าโครงสร้างตัวถังจะได้รับการผลิตจากอะลูมิเนียมก็ตาม ส่วนระบบช่วงล่างหน้าเป็นแบบอิสระ ปีกนก 2 ชั้น ทอร์ชั่นบาร์ และเหล็กกันโคลง และด้านหลังเป็นแหนบ
เครื่องยนต์เป็นแบบวี8 อะลูมิเนียมทั้งบล็อก เป็นแบบ OHV 3,200 ซีซี คาร์บูเรเตอร์ 2 ตัวของ Solex Zenith ผลิตกำลังออกมาได้ 150 แรงม้า และ 160 แรงม้าสำหรับรุ่นพิเศษที่ลูกค้าสั่งเพิ่มได้ ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 4 จังหวะ และระบบเฟืองท้ายแบบแปรผันอัตราทดได้ ส่วนสมรรถนะในการขับเคลื่อนอยู่ที่ 10 วินาทีสำหรับอัตราเร่ง 0-96 กิโลเมตร/ชั่วโมง และ 200 กิโลเมตร/ชั่วโมงสำหรับความเร็วสูงสุด
แม้จะเป็นตัวการที่ทำให้บริษัทยืนอยู่บนปากเหว แถมยังขายไม่ค่อยดีเพราะราคาแพง แต่ทว่าในยุคหลังๆ 507 กลายเป็นที่ต้องการของบรรดานักสะสม และว่ากันว่าเอลวิส เพรสลีย์ ราชาเพลงร็อคชื่อก้องโลกก็เคยควักเงินซื้อ 507 มาอยู่ในครอบครองด้วยในช่วงที่เขาไปประจำการอยู่ที่เยอรมันตะวันตก และนำกลับสหรัฐอเมริกาหลังจากที่ปลดประจำการ แต่ในปี 1963 ก็มอบเป็นของขวัญให้กับ Ursula Andress นักแสดงหญิงสัญชาติสวิสส์
โดย Andress ได้เก็บของขวัญชิ้นนี้เอาไว้ถึง 20 ปี ก่อนนำออกมาประมูลในปี 1997 และสรุปราคาที่ 350,000 เหรียญสหรัฐฯ ซึ่งถือเป็นยอดประมูลสูงสุดของ 507 ส่วนคนดังอีกคนที่ครอบครอง 507 คือ จอห์น เซอร์ตีส์ ยอดนักแข่งรถ F1
เชื่อว่า 80% ของ 507 ที่ถูกขายออกไปยังอยู่ในสภาพที่พร้อมใช้งาน และราคาในระหว่างการประมูลมักจะอยู่ที่ 275,000-300,000 เหรียญสหรัฐฯ นอกจากนั้น 507 ยังเป็นจุดกำเนิดของโรดสเตอร์ 2 รุ่นดัง คือ Z3 ที่ในเวลาต่อมากลายมาเป็น Z4 และ Z8 โรดสเตอร์รุ่นใหญ่ ซึ่งเป็นตัวแทนของ 507
จุดกำเนิดรถสปอร์ตเปิดประทุนรุ่นนี้เกิดขึ้นในปี 1954 เมื่อ Max Hoffman ผู้นำเข้ารถยนต์เข้าไปขายในสหรัฐอเมริกาได้ให้คำแนะนำกับทางบีเอ็มดับเบิลยูว่า ควรจะผลิตรถสปอร์ตเปิดประทุนขึ้นมาสักคันโดยอิงพื้นฐานทางวิศวกรรมจากรถยนต์รุ่น 501 และ 502 เพื่อแทรกกลางระหว่างรุ่น 300SL ของเมอร์เซเดส-เบนซ์ที่มีราคาแพง กับไทรอัมพ์ และเอ็มจี โดยทาง Hoffman และบีเอ็มดับเบิลยูได้ร่วมมือกันสร้างสรรค์ความสปอร์ตรุ่นนี้ขึ้นมา
ในตอนแรกตัวรถได้รับการออกแบบโดย Ernst Loof แต่ก็ไม่ได้รับการเห็นชอบจาก Hoffman ซึ่งในที่สุดทางบีเอ็มดับเบิลยูก็เปลี่ยนมาใช้บริการของ Albrecht von Goertz ซึ่งเคยฝากผลงานเอาไว้กับรุ่น 503 ขณะที่ Fritz Fiedler รับหน้าที่ดูแลงานด้านวิศวกรรม และพยายามลดต้นทุนด้วยการใช้ชิ้นส่วนร่วมกับรถยนต์รุ่นอื่นๆ ของค่ายใบพัดสีฟ้าให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้
ในปี 1955 บีเอ็มดับเบิลยูนำ 507 เปิดตัวครั้งแรกที่งานแฟรงค์เฟิร์ต มอเตอร์โชว์ และเริ่มวางขายในเดือนกันยายนปีต่อมา โดยในตอนแรกทาง Hoffman คิดว่าราคาของ 507 น่าจะเพียงแค่ 5,000 เหรียญสหรัฐในยุคนั้น และถ้าราคานี้เขาหวังว่าจะได้รับความนิยมอย่างมากจนมียอดขายไม่ต่ำกว่า 5,000 คันต่อปี แต่สุดท้ายแล้ว ด้วยเหตุที่ต้นทุนในการผลิตที่สูงขึ้น ก็เลยทำให้ 507 เปิดตัวที่ราคา 9,000-10,500 เหรียญสหรัฐ หรือแพงกว่าที่คาดถึงเท่าตัว
ผลก็คือ ตัวรถไม่ได้รับการตอบรับที่ดีเท่าที่ควร เพราะมียอดขายเพียง 252 คันเท่านั้นบวกกับต้นแบบอีก 2 คันตลอด 3 ปีที่ทำตลาด และที่สำคัญแทนที่จะมีส่วนในการช่วยพลิกฟื้นภาพลักษณ์ความสปอร์ตของบีเอ็มดับเบิลยูให้กลับคืนมาก็กลายเป็นว่ากลับนำพาบีเอ็มดับเบิลยูไปยืนอยู่ปากเหว และเสี่ยงต่อการล้มละลาย โดยในปี 1959 ซึ่งเป็นปีสุดท้ายของการผลิตเพราะเหตุผลด้านการเงินบังคับนั้น บีเอ็มดับเบิลยูประสบปัญหาขาดทุนในการดำเนินกิจการถึง 15 ล้านดอยช์มาร์ค
แต่สุดท้ายแล้วค่ายใบพัดสีฟ้ารอดพ้นจากปัญหาได้ด้วยการช่วยเหลือทางด้านการเงินของ Herbert Quandt ด้วยการมอบเงินสำหรับพัฒนารถยนต์ราคาถูกอย่างรุ่น 700, Isetta และ 1500 ออกมาสู่ตลาด พร้อมกับได้รับการตอบรับที่ดีจากลูกค้า
507 เป็นโรดสเตอร์ 2 ที่นั่งซึ่งมาพร้อมกับตัวถังขนาด 4,835 มิลลิเมตร และแชร์พื้นฐานจากรุ่น 503 โดยมีการลดระยะฐานล้อจาก 2,835 มาเป็น 2,479 มิลลิเมตร พร้อมน้ำหนักตัวในระดับ 1,485 กิโลกรัม แม้ว่าโครงสร้างตัวถังจะได้รับการผลิตจากอะลูมิเนียมก็ตาม ส่วนระบบช่วงล่างหน้าเป็นแบบอิสระ ปีกนก 2 ชั้น ทอร์ชั่นบาร์ และเหล็กกันโคลง และด้านหลังเป็นแหนบ
เครื่องยนต์เป็นแบบวี8 อะลูมิเนียมทั้งบล็อก เป็นแบบ OHV 3,200 ซีซี คาร์บูเรเตอร์ 2 ตัวของ Solex Zenith ผลิตกำลังออกมาได้ 150 แรงม้า และ 160 แรงม้าสำหรับรุ่นพิเศษที่ลูกค้าสั่งเพิ่มได้ ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 4 จังหวะ และระบบเฟืองท้ายแบบแปรผันอัตราทดได้ ส่วนสมรรถนะในการขับเคลื่อนอยู่ที่ 10 วินาทีสำหรับอัตราเร่ง 0-96 กิโลเมตร/ชั่วโมง และ 200 กิโลเมตร/ชั่วโมงสำหรับความเร็วสูงสุด
แม้จะเป็นตัวการที่ทำให้บริษัทยืนอยู่บนปากเหว แถมยังขายไม่ค่อยดีเพราะราคาแพง แต่ทว่าในยุคหลังๆ 507 กลายเป็นที่ต้องการของบรรดานักสะสม และว่ากันว่าเอลวิส เพรสลีย์ ราชาเพลงร็อคชื่อก้องโลกก็เคยควักเงินซื้อ 507 มาอยู่ในครอบครองด้วยในช่วงที่เขาไปประจำการอยู่ที่เยอรมันตะวันตก และนำกลับสหรัฐอเมริกาหลังจากที่ปลดประจำการ แต่ในปี 1963 ก็มอบเป็นของขวัญให้กับ Ursula Andress นักแสดงหญิงสัญชาติสวิสส์
โดย Andress ได้เก็บของขวัญชิ้นนี้เอาไว้ถึง 20 ปี ก่อนนำออกมาประมูลในปี 1997 และสรุปราคาที่ 350,000 เหรียญสหรัฐฯ ซึ่งถือเป็นยอดประมูลสูงสุดของ 507 ส่วนคนดังอีกคนที่ครอบครอง 507 คือ จอห์น เซอร์ตีส์ ยอดนักแข่งรถ F1
เชื่อว่า 80% ของ 507 ที่ถูกขายออกไปยังอยู่ในสภาพที่พร้อมใช้งาน และราคาในระหว่างการประมูลมักจะอยู่ที่ 275,000-300,000 เหรียญสหรัฐฯ นอกจากนั้น 507 ยังเป็นจุดกำเนิดของโรดสเตอร์ 2 รุ่นดัง คือ Z3 ที่ในเวลาต่อมากลายมาเป็น Z4 และ Z8 โรดสเตอร์รุ่นใหญ่ ซึ่งเป็นตัวแทนของ 507