สำหรับคอรถยนต์คลาสสิค เมื่อถึงเดือนสิงหาคม ถือเป็นช่วงเวลาแห่งความพิเศษ เพราะว่ามีงานประกวด และโชว์ระดับชั้นแนวหน้าของโลกจัดขึ้นเป็นประจำทุกปี โดยยึดเอาหลุมที่ 18 ของสนามกอล์ฟริมฝั่งมหาสมุทรแปซิฟิกเป็นพื้นที่ในการจัดแสดง
ใช่แล้ว เรากำลังพูดถึงงาน Pebble Beach Concour d’Elegance ในเมืองมอนเทอเรย์ มลรัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา
Pebble Beach Concours d'Elegance เป็นงานแสดงรถยนต์คลาสสิคและโบราณที่จัดขึ้นเป็นการกุศลโดยมีขึ้นเป็นประจำทุกปีนับจากปี 1950 และมีทาง Pebble Beach Golf Links รับหน้าเสื่อเป็นเจ้าภาพในการจัดงานนี้
งานถูกจัดขึ้นในสนามกอล์ฟ และในช่วง 2 ปีแรกจะถูกจัดขึ้นที่จุดทีออฟและสนามฝึกไดร์ฟ และมีรถเข้าร่วมจัดแสดงมากถึง 30 คัน ก่อนที่ในปี 1952 จะย้ายมาจัดบนหลุมที่ 18 ของสนาม Pebble Beach Golf Links ซึ่งตั้งอยู่ใกล้กับมหาสมุทรแปซิฟิก และเป็นสนามที่ใช้ในการจัดจนกระทั่งถึงปัจจุบัน การจัดมีเป็นประจำทุกปียกเว้นในปี 1960 ที่มีการยกเลิกเพราะมีปัญหาเรื่องของโปรแกรมการจัดงาน ส่วนในปี 1963 และ 1965 ก็เกิดฝนตกหนักจนสนามหญ้าเปียกไม่เหมาะกับการจัดงาน ก็เลยต้องย้ายมาจัดชั่วคราวที่คอกม้าของสนามกอล์ฟแทน
เมื่อดูจากชื่อ Concours d'Elegance ซึ่งเป็นคำในภาษาฝรั่งเศสที่มีความหมายในภาษาอังกฤษว่า "A competition of elegance" หรือ "การแข่งขันประชันความหรูอลังการณ์" ในภาษาไทย รถยนต์ที่นำมาจัดแสดงส่วนใหญ่จึงเป็นพวกรถคลาสสิคและโบราณทั้งรุ่นก่อนและหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 และก็จะมีคณะกรรมการคอยให้คะแนนเพื่อแจกรางวัลให้กับผู้ชนะในอันดับ 1-3 ของแต่ละกลุ่ม ซึ่งในปีนี้มีการแจกรางวัลมากถึง 29 กลุ่ม จากนั้นก็นำมาประชันกันเพื่อคัดเลือกตำแหน่งสุดท้าย นั่นคือ Best in Show
สำหรับงานในปีนี้มีขึ้นระหว่างวันที่ 17-21 สิงหาคม และเป็นการฉลองปีที่ 61 ของการจัดงาน โดยในปีนี้ไฮไลต์เด่นของงานมีความหลากหลายขึ้น เพราะเมอร์เซเดส-เบนซ์ก็เข้ามาร่วมด้วยในฐานะของการฉลอง 125 ปีของการเปิดโลกแห่งการเดินทางให้กับคนทั่วโลกด้วยรถยนต์ ขณะเดียวกันทางเฟอร์รารี่ และจากัวร์ก็ฉลองอายุครบครึ่งศตวรรษรถยนต์รุ่นเด่นของตัวเองอย่าง GTO และ E-Type
มีการเปิดเผยว่าในปีนี้ บนหลุมที่ 18 ของสนามกอล์ฟ Pebble Beach Golf Links มีรถยนต์โบราณและคลาสสิคมาจัดแสดงมากกว่า 200 คัน แต่มีหนึ่งเดียวเท่านั้นที่จะเป็นรถยนต์ที่โดดเด่น ซึ่งรู้จักกันดีในชื่อ Best in Show ของงาน และสำหรับรางวัลนี้ในปีนี้ตกเป็นของ Voisin C-25 Aerodyne รุ่นปี 1934 ซึ่งเจ้าของก็คือ Peter Mullin ที่เป็นเจ้าของพิพิธภัณฑ์รถยนต์ Mullin Automotive Museum ใน Oxnard มลรัฐแคลิฟอร์เนีย
สำหรับชื่อรถยนต์หลายคนอาจจะไม่คุ้นหูว่า Voisin คืออะไร ? ซึ่งรถยนต์แบรนด์นี้ก่อตั้งขึ้นโดย Gabriel Voisin ซึ่งเป็นวิศวกรด้านยานยนต์และผู้เชี่ยวชาญด้านอากาศพลศาสตร์คนหนึ่งในยุคศวตวรรษที่ 20 โดยเขาได้ก่อตั้งบริษัท Voisin ขึ้นมา และในช่วงแรกบริษัทรับหน้าที่ในการผลิตเครื่องบิน ก่อนที่จะเริ่มหันมาผลิตรถยนต์หลังจากสงครามโลกครั้งที่ 1 สิ้นสุดลง และรถยนต์คันแรกของ Voisin คือ C-2 ที่เปิดตัวในปารีส มอเตอร์โชว์ปี 1920จากนั้นบริษัททิ้งระยะนานถึง 25 ปีจึงเปิดตัวรถยนต์ใหม่ออกมา นั่นคือ C-25 คันนี้ โดยเผยโฉมในงานเดียวกันกับ C-20 ด้วยเครื่องยนต์ 6 สูบ 3,000 ซีซี 100 แรงม้าและตัวรถมีการผลิตออกมา 3 ตัวถังด้วยกัน ซึ่งมีชื่อเรียกต่างกันคือ Cimier, Clariere และ Aerodyne ซึ่งเป็นตัวถังที่หากยากที่สุด และมีเพียง 28 คันเท่านั้นที่ผลิตออกมา ซึ่งนี่คือ หนึ่งใน 28 คัน
Voisin C-25 Aerodyne ได้รับเลือกให้เป็นผู้ชนะในกลุ่มรถยนต์ยุโรปที่ผลิตระหว่างปี 1932-1937 ก่อนที่จะก้าวขึ้นตำแหน่งสูงสุดของงาน นั่นคือ Best in Show
ในส่วนของไฮไลต์เกี่ยวกับการฉลองอายุครบของรถยนต์รุ่นต่างๆ นั้น ในส่วนของ E-Type นอกจากการแล่นโชว์ตัวบนสนามแข่ง Laguna Seca แล้ว ยังมาจอดเรียงรายอวดโฉมกันเพียบ โดยในปีนี้ทางจากัวร์ได้เชิญฟิล ฮิลล์ นักแข่ง F1 ที่เป็นตำนานความแรงชาวอเมริกันมาร่วมงานด้วย โดยทางจากัวร์จัดพื้นที่พิเศษสำหรับฮิลล์โดยเฉพาะด้วยการนำรถแข่งของเขาอย่างเฟอร์รารี่ TR/59 รุ่นปี 1959 มาจอดคู่กับ XK120 ซึ่งฮิลล์ได้สร้างตำนานพาจากัวร์คว้าแชมป์การแข่งขันบนถนนใน Pebble Beach
สำหรับคนที่ชอบบูกัตตี้ โดยเฉพาะรุ่นใหม่อย่างเวย์รอน งานนี้ก็ไม่น่าพลาด เพราะบริษัทจำหน่ายรถยนต์คลาสสิคอย่าง Quail Motorsport นำมาจัดแสดงเพียบ ชนิดที่เรียกว่าจอดอวดโฉมในงานนี้มีจำนวนมากกว่าเวลาเราได้เห็นบนพื้นที่ของบูกัตตี้ตามมอเตอร์โชว์ระดับโลกเสียอีก ขณะที่ทางบูกัตตี้เองก็นำผลผลิตใหม่อย่างรุ่น L'Or Blanc ซึ่งผลิตขึ้นมาเพียงคันเดียว จากความร่วมมือกับทาง Königliche Porzellan-Manufaktur ของเยอรมนี พร้อมกับค่าตัวในระดับ 1.65 ล้านยูโร หรือ 75 ล้านบาท
ทางเฟอร์รารี่ที่ฉลองครบรอบ 50 ปีของสปอร์ตในรหัส GTO ก็มีการนำของใหม่มาต่อยอดสร้างความฮือฮากับรุ่น 599-VX งานนี้เป็นการนำรุ่น GTO ของ 599 มาต่อยอดเพื่อเลียนแบบตัวแรงที่ไม่มีการผลิตขายอย่าง 599XX กับสีขาวทึบ โดยใช้ฟิล์ม Matte white vinyl ของ 3M
ปิดท้ายกับสีสันที่เรียกว่าเป็นอีกความน่าสนใจของงาน นั่นคือ การประมูลรถยนต์โบราณ และคลาสสิค ซึ่งจัดโดยทาง RM Auction ในปีนี้มีมากมายหลายร้อยคัน และแต่ละคันก็จบราคาการประมูลในระดับไม่ต่ำกว่าเลข 7 หลักทั้งนั้น เช่น ปอร์เช่ 911 คาร์เรรา ของสตีฟ แม็คควีน ซึ่งเป็นรุ่นปี 1971 และเคยผ่านฉากในหนังเรื่อง Le Mans เริ่มต้นที่ราคา 200,000 เหรียญสหรัฐฯ หรือ 6 ล้านบาท แต่ไปปิดราคารวมค่าธรรมเนียมการประมูลที่ 1.35 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือ 40.5 ล้านบาท
ส่วนคันที่แพงสุด คือ 540 K Spezial Roadster รุ่นปี 1937 ของค่ายเมอร์เซเดส-เบนซ์ ซึ่งปิดราคาประมูลที่ 8.8 ล้าน ซึ่งมีหน่วยเป็นเหรียญสหรัฐฯ หรือ 264 ล้านบาทกันเลยทีเดียว โดยสิ่งที่น่าสนใจ รถยนต์คันนี้เปิดที่ราคา 4 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือ 120 ล้านบาท และใช้เวลาเพียง 5 นาทีในการปิดประมูล ขณะที่อีกคันแต่เป็นรุ่นปี 1939 ปิดที่ 5 ล้านเหรรียญสหรัฐฯ หรือ 150 ล้านบาท และใช้เวลา 3 นาทีในการปิดประมูล