เดินทางมาถึงเจนเนอเรชันที่ 3 แล้วสำหรับ M-Class ตัวลุยระดับหรูจากค่ายเมอร์เซเดส-เบนซ์ โดยค่ายดาว 3 แฉกจัดการเผยโฉมพร้อมรายละเอียดของตัวรถออกมาแล้ว แต่ช้าก่อน อยากขับต้องอดใจรอ เพราะการส่งมอบให้กับลูกค้าจะเริ่มขึ้นในช่วงปลายปีนี้
M-Class เปิดตัวในปี 1998 ถือเป็นผลผลิตที่เกิดขึ้นยุคที่ตลาดเอสยูวีในสหรัฐอเมริกาเบ่งบาน และเจนเนอเรชันแรกก็เป็นที่รู้จักกันของคนทั่วโลกไม่ใช่แค่ฐานะเอสยูวีระดับหรูรุ่นแรกที่เน้นการขับออนโรดของเมอร์เซเดส-เบนซ์ แต่ยังเป็นยานยนต์ที่เข้าฉากภาพยนตร์เรื่องดังอย่าง The Lost World : Jurassic Park ซึ่งเป็นหนังภาคต่ออีกด้วย
ถ้านับตามรหัสตัวถังของแต่ละเจนเนอเรชันแล้ว รุ่นใหม่นี้น่าจะใช้รหัสตัวถัง W165 ต่อจากรุ่นแรก W163 และรุ่นที่ 2 รหัส W165 ในแง่ของตัวรถ นอกจากจะได้รับการออกแบบที่ผสมผสานความสวย ความสปอร์ต และความหรูแล้ว ที่ขาดไม่ได้คือ การออกแบบตัวถังให้เอื้อประโยชน์ในด้านหลักอากาศพลศาสตร์ เพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพความประหยัดน้ำมัน และแม้ว่าจะมีตัวถังทรงกล่องสูง แต่ก็มีความเพรียวลมด้วยค่าสัมประสิทธิ์แรงเสียดทาน หรือ Cd เพียง 0.32
และดูเหมือนว่าเมอร์เซเดส-เบนซ์จะค่อนข้างให้ความสำคัญกับความประหยัดน้ำมันอย่างมาก เพราะถือเป็นอีกปัจจัยที่ทำให้เอสยูวีเสื่อมความนิยมลงหลังจากที่ราคาน้ำมันเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งในรุ่นเบนซิน จะสวมกับรหัส BlueEFFICIENCY ขณะที่เทอร์โบดีเซลก็มากับ BlueTEC มั่นใจได้กับความประหยัดน้ำมัน
ในรุ่นเบนซินสตาร์ทกับรหัส ML350 ใช้เครื่องยนต์วี6 3,000 ซีซีบล็อกใหม่ พร้อมระบบ Di และหัวฉีด Piezo รุ่นใหม่ โดยมีความจุอยู่ที่ 3,500 ซีซี เสื้อสูบรูปตัว V ถูกลดมุมองศาจากเดิม 90 มาอยู่ที่ 60 องศา กำลังขับเคลื่อนขยับจาก 272 แรงม้าในรุ่นเดิมมาอยู่ที่ 306 แรงม้า และแรงบิดสูงสุดเพิ่มขึ้น 5.7% เป็น 37.7 กก.-ม.
ส่วนอัตราเร่งใช้เวลา 7.6 วินาทีจากการทะยานจาก 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง และความเร็วสูงสุด 240 กิโลเมตร/ชั่วโมง โดยที่ในแง่ของความประหยัดดพิ่มขึ้นจากรุ่นเดิม 25% แม้ว่าจะมีกำลังเพิ่มขึ้น ด้วยตัวเลข 11.76 กิโลเมตร/ลิตร
ในรุ่นเทอร์โบดีเซละแบ่งออกเป็น 2 รุ่นย่อย คือ ML250 และ ML350 ซึ่งรุ่นหลังมีการติดตั้งเทคโนโลยี AdBlue เอกสิทธิ์ของเมอร์เซเดส-เบนซ์ในการขนจัดก๊าซไนโตรเจนออกไซด์เพื่อเพิ่มความสะอาดในไอเสีย
รุ่น ML250 ใช้เครื่องยนต์ 4 สูบเทอร์โบคู่ปรับบูสต์ในแบบ LP หรือ Low Pressure มีความจุ 2,200 ซีซี CDI และมีกำลัง 204 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 50.9 กก.-ม. ที่รอบต่ำเพียง 1,600 รอบ/นาที ขณะที่รุ่น ML350 วางเครื่องยนต์วี6 3,000 ซีซี 258 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 63.2 กก.-ม.
สมรรถนะในการขับเคลื่อนของทั้ง 2 รุ่นเร้าใจไม่แพ้กันด้วยอัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมงใน 9 และ 7.4 วินาทีตามลำดับ ส่วนความเร็วสูงสุดอยู่ที่ 210 และ 224 กิโลเมตร/ชั่วโมง สำหรับความประหยัดเรียกว่ามั่นใจได้ ถึงขนาดเมอร์เซเดส-เบนซ์กล้าเคลมว่าในรุ่น ML250 สามารถแล่นน้ำมัน 1 ถัง (93 ลิตร) ได้ระยะทาง 1,500 กิโลเมตรตามการทดสอบในรูปแบบผสม NEDC ของยุโรป ส่วนตัวเลขความประหยัดอยู่ที่ 16.6 กิโลเมต/ลิตร ส่วนรุ่น ML350 กินขึ้นมาอีกหน่อย ด้วยตัวเลข 14.7 กิโลเมตร/ลิตร
ทุกรุ่นขับเคลื่อน 4 ล้อตลอดเวลาด้วยเทคโนโลยี 4MATIC ซึ่งจะมีการปรับเปลี่ยนการกระจายแรงบิดไปสู่เพลาหน้าและหลังตามสภาพการเส้นทาง พร้อมเกียร์อัตโนมัติ 7 จังหวะรุ่น 7G-Tronic และระบบ Auto Start/Stop ซึ่งจะดับเครื่องยนต์อัตโนมัติเมื่อจอดติดอยู่กับที่
ถ้าอยากจะลุยก็สามารถทำได้และเพิ่มความสะดวกในการใช้งาน เพราะระบบการเลือกการส่งกำลังแบบใหม่ที่เรียกว่า ON&OFFROAD มีการเซ็ตรูปแบบการกระจายแรงบิดสู่เพลาขับเคลื่อน 6 แบบด้วยกัน คือ Automatic ขับแบบปกติซึ่งจะมีการกระจายกำลังตามความเหมาะสมของเส้นทาง, Offoroad 1 เน้นการลุยแบบเบาเหมือนกับ 4-Hi ส่วน Offroad 2 ก็หนักขึ้นมาหน่อยในแบบ 4-Lo, Winter ขับบนหิมะ, Sport ขับทางเรียบเน้นความสปอร์ต และ Trailer สำหรับการลากจูงที่ต้องเน้นพละกำลังในช่วงรอบต้นๆ
ในแง่ของความปลอดภัยก็ติดตั้งมาครบครันทั้งถุงลมนิรภัยคู่หน้าแบบพองตัว 2 ระดับ ถุงลมนิรภัยหัวเข่า ถุงลมนิรภัยด้านข้างสำหรับเบาะคู่หน้า-หลัง และม่านถุงลมนิรภัย รวมถึงเทคโนโลยีใหม่ที่เรียกว่า POST-SAFE (แต่เดิมเราคุ้นเคยกับ PRE-SAFE)
ระบบนี้เป็นการปกป้องและเน้นความปลอดภัยของทุกชีวิตในห้องโดยสารหลังจากเกิดอุบัติเหตุ เพื่อลดความเสี่ยงต่อการบาดเจ็บอย่างหนัก หรือเสียชีวิต เช่น เมื่อเกิดการชนแล้ว ไฟ Hazard จะกระพริบเตือนขึ้นทันที ปุ่มล็อกประตูก็จะถูกปลดออก รวมถึงการเปิดกระจกหน้าต่าบางส่วนออก เพื่อช่วยในการระบายอากาศหลังจากที่ระบบถุงลมนิรภัยระเบิดขึ้นมาพร้อมกับก๊าซที่ช่วยในการจุดระเบิด สำหรับถังน้ำมันก็จะมีการตัดการส่งเพื่อลดความเสี่ยงของไฟไหม้
สำหรับการทำตลาดจะมีขึ้นทั้งในสหรัฐอเมริกา และยุโรปปลายปีนี้ โดยที่ยังไม่เปิดเผยราคาออกมา โดยไลน์ผลิตหลักจะยังอยู่ที่เมืองทัสคาลูซ่า มลรัฐอะลาบามาเหมือนเดิม