ในบรรดากิจกรรมของ “อีซูซุ” นอกจาก “ขับประหยัดน้ำมัน”แล้ว คาราวานท่องเที่ยวสำหรับลูกค้าอีซูซุทั่วประเทศ “อีซูซุ ซูเปอร์คอมมอนเรล คาราวานสัญจร” เป็นอีกกิจกรรมที่ได้รับความนิยมจากลูกค้าเป็นอย่างมาก บางรายเฝ้าติดตามขอเข้าร่วมโดยตลอด จนกลายเป็น “ซูเปอร์แฟน” ไปเสียแล้ว และในเส้นทางที่ 2 ประจำปี 2554 ที่เพิ่งจบไปหมาดๆ เมื่อต้นเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา เป็นเส้นทางท่องเที่ยวระหว่างประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งครานี้เดินทางล่องใต้ของไทย สัญจรไปท่องเที่ยวมาเลเซีย รวมระยะทางกว่า 1,500 กิโลเมตร แต่บรรดาซูเปอร์แฟนก็ยังไม่ครั่นคร้าม ครั้งนี้พากันเข้าร่วมเกือบร้อยชีวิตได้
สำหรับกิจกรรม “อีซูซุ ซูเปอร์คอมมอนเรล คาราวานสัญจร ประจำปี 2554” ยังคงมีทั้งหมด 4 เส้นทาง แบ่งเป็นภายในประเทศ 3 เส้นทาง และท่องเที่ยวประเทศเพื่อนบ้านอีก 1 เส้นทาง ซึ่งนอกจากเป็นกิจกรรมลูกค้าสัมพันธ์ที่จัดขึ้นทุกปีแล้ว ยังเป็นการขอบคุณลูกค้าอีซูซุ และสนับสนุนนโยบายรัฐบาลในการส่งเสริมท่องเที่ยว ตามสโลแกนสั้นๆ ที่ได้ใจความว่า... “ผู้ใช้สุขใจ เพิ่มพูนรายได้ ช่วยให้สังคมพัฒนา”
ส่วนอีกเส้นทางที่จัดท่องเที่ยวยังประเทศเพื่อนบ้านนั้น อีซูซุมีวัตถุประสงค์ให้ลูกค้าชาวไทยได้รู้จักและเข้าใจถึงชีวิตผู้คน สังคม วัฒนธรรม และประเพณี ตลอดจนความเป็นไปและก้าวหน้าของประเทศเพื่อนบ้าน ที่มีความสำคัญระหว่างกันมาก ทั้งเรื่องของเศรษฐกิจและความสัมพันธ์ในภูมิภาคอาเซียน
“ASTVผู้จัดการมอเตอริ่ง” ได้มีโอกาสติตามขบวนคาราวานอีซูซุ ซูเปอร์คอมมอนเรล คาราวานสัญจร ทริปไทย-มาเลเซียครั้งนี้ โดยเหินฟ้าไปดักรอขบวนที่จังหวัดสุราษฎร์ธานี และนั่งรถต่อไปยังนครศรีธรรมราช เพื่อกราบไหว้สักการะ “พระบรมธาตุเจดีย์” สิ่งศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองของชาวนครศรีธรรมราชและชาวไทยทุกคน ซึ่งตั้งอยู่ภายในวัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร ก่อนจะไปสมทบกับขบวนคาราวานลูกค้าของอีซูซุ ที่ขับรถมาจากหลายจังหวัดทั่วประเทศของไทย ไม่ว่าจะเป็นภาคเหนือ อีสาน ตะวันออก ภาคกลาง หรือแม้แต่ภาคใต้เอง
ทั้งนี้ บางรายก็มาไกลจากเหนือสุดเชียงใหม่-เชียงราย ซึ่งขับรถอีซูซุซูเปอร์คอมมอนเรลยังไม่เข้ามาเลเซีย ก็นับเป็นระยะทางมากกว่า 1,000 กิโลเมตรเข้าไปแล้ว เรียกว่า... รวมพล “ซูเปอร์แฟน” จริงๆ
เช้าวันใหม่ของทั้งลูกค้าอีซูซุ สื่อมวลชน และเจ้าหน้าที่อีซูซุรวมกว่าร้อยชีวิต มารวมกันอยู่จุดสตาร์ทขบวนคาราวานอีซูซุซูเปอร์คอมมอนเรล คาราวานสัญจร ที่สนามหน้าเมืองนครศรีธรรมราชจุดปล่อยขบวนคาราวาน โดย “สุทธิพงษ์ เทิดรัตนพงศ์” รองผู้ว่าราชการจังหวัดนครศรีธรรมราช เป็นประธานและรับมอบเงินบริจาคและเครื่องอุปโภคบริโภค ที่ทางอีซูซุและผู้ร่วมคาราวานร่วมสมทบทุน เพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วมภาคใต้
“คาราวานอีซูซุจากไทยสู่ประเทศมาเลเซีย เป็นเส้นทางที่ 2 ของกิจกรรมอีซูซุ ซูเปอร์คอมมอนเรล คาราวานสัญจร ประจำปี 2554 ซึ่งเป็นการท่องเที่ยวทางรถยนต์ที่มีระยะทางกว่า 1,500 กิโลเมตรสู่ประเทศเพื่อนบ้าน ไม่เพียงช่วยเปิดวิสัยทัศน์ในการเดินทางใหม่ๆ แต่ยังเป็นการเชื่อมสัมพันธ์อันดีระหว่างไทยและมาเลเซียอีกด้วย เพราะเราได้รับการสนับสนุนจากทั้งการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยและการท่องเที่ยวมาเลเซีย โดยมีสมาชิกประชาคมอีซูซุร่วมเดินทางจำนวนมาก เพื่อไปยังจุดหมายปลายทางสำคัญๆ ที่สะท้อนถึงประวัติศาสตร์อันงดงามของมาเลเซียไว้มากมาย”
เป็นคำกล่าวรายงานของ “ปนัดดา เจณณวาสิน” รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท ตรีเพชรอีซูซุเซลส์ จำกัด จากนั้นจึงทำพิธีตีธงปล่อยขบวนคาราวานออกเดินทางมุ่งสู่ด่านสะเดา จังหวัดสงขลา เข้าสู่เมืองจังโหลน หรือ “ช้างหล่น” ชื่อเรียกสมัยเมื่อรัฐต่างๆ ของมาเลเซียในแถบนี้ ยังเป็นแผ่นดินในราชอาณาจักรสยาม ก่อนจะเพี้ยนมาเรียกจังโหลนในปัจจุบัน
จุดหมายปลายทางแรกอยู่ที่เมืองอลอร์สตาร์ ที่ตั้งของ “พิพิธภัณฑ์หลวงเคดาห์” ซึ่งในอดีตเคยเป็นพระราชวัง และปัจจุบันได้กลายเป็นพิพิธภัณฑ์จัดแสดงเครื่องใช้ของสมาชิกราชวงศ์เคดาห์ รวมถึงจัดแสดงที่ประทับอันงดงามของรัชกาลที่ 5 ที่สุลต่านจัดสร้างถวาย ในสมัยที่ออกว่าราชการในเมืองอลอร์สตาร์ จากนั้นขบวนคาราวานไปยัง “วัดไทยนิโครธาราม” วัดที่หลวงปู่ทวดแห่งวัดช้างให้ เป็นผู้สร้างและท่านมรณภาพที่วัดแห่งนี้
หลังจากเอาฤกษ์เอาชัยนมัสการพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ ภายในพระอุโบสถวัดไทยนิโครธารามแล้ว ขบวนคาราวานใช้เส้นทางไฮเวย์จากเมืองบัตเตอร์เวิร์ธ ข้ามสะพานความยาว 13.5 กิโลเมตรสู่เมืองปีนัง นับเป็นสะพานที่มีความยาวเป็นอันดับ 3 ของโลก แต่ปัจจุบันปีนังกำลังก่อสร้างสะพานปีนัง 2 ความยาว 26 กิโลเมตร ซึ่งจะเป็นสะพานที่ยาวที่สุดในโลกอีกประมาณ 3 ปีข้างหน้า และทันทีเข้าสู่เมืองปีนังเราก็พบการจราจรค่อนข้างหนาแน่นในช่วงเย็น กว่าถึงโรงแรมที่พักก็เย็นย่ำพอดี
วันที่สามของการเดินทางขบวนคาราวานไปเยี่ยมชม “วัดเขาเต่า” ที่อยู่บนยอดเขาสูง สามารถมองเห็นวิวทิวทัศน์เมืองปีนังและท้องทะเลอย่างสวยงาม จุดเด่นของวัดนี้คือการเข้านมัสการพระโพธิสัตว์กวนอิมอันศักดิ์สิทธิ์และเจดีย์หมื่นพระ อันเป็นพุทธศิลป์ที่รวมความงดงามของศิลปะจากสามประเทศ ได้แก่ ไทย จีน และพม่า เข้าไว้ด้วยกันอย่างลงตัว ส่วนที่เรียกวัดเขาเต่า เพราะมีเต่ามาอาศัยอยู่จำนวนมาก บางตัวมีขนาดใหญ่จนประเมินอายุไม่ได้
จากนั้นย้อนกลับมาชมเมืองปีนัง โดยเฉพาะย่านเมืองเก่าที่กำลังขอเป็นมรดกโลกอีกแห่งของมาเลเซีย ต่อจากเมืองเก่าที่เมืองมะละกา เป้าหมายปลายทางของเราในช่วงบ่ายวันนี้ โดยเมื่อออกจากปีนังขบวนคาราวานขับลุยฝนเบาๆ ผ่านทางโค้งและขึ้นเขาเป็นระยะ แต่ไม่มีปัญหาสำหรับผู้ร่วมขบวนคาราวาน ที่ต่างรู้มือและใจรถอีซูซุซูเปอร์คอมมอนเรล ไม่ว่าจะเป็นปิกอัพ หรือพีพีวีรุ่นมิว-7 โดยขับผ่านเมืองหลวงกัวลาลัมเปอร์ มุ่งลงสู่ใต้ไปยังมะละกา ที่อยู่กึ่งกลางระหว่างสิงคโปร์กับกัวลาลัมเปอร์
ขบวนคาราวานมาถึงที่พักใจกลางเมืองมะละกามืดค่ำพอดี โดยมื้อค่ำวันนี้มีการจัดงานต้อนรับขบวนคาราวานเป็นทางการในโรงแรม โดยมี “เคียวยะ คนโด” รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท ตรีเพชรอีซูซุเซลส์ จำกัด และ “ทาคาชิ ฮาตะ” ประธาน บริษัท อีซูซุมาเลเซีย จำกัด พร้อมคณะให้การต้อนรับ และร่วมงานเลี้ยงรับรองภาคค่ำ พร้อมชมการแสดงที่ผสมผสานวัฒนธรรมของชาวมาเลย์ในยุคต่างๆ อย่างสนุกสนาน โดยเฉพาะการแสดงชุดสุดท้าย ที่นักร้องสาวสวยร้องเพลงแนะนำการท่องเที่ยวของมาเลเซียเป็นภาษาไทย เรียกเสียงฮือฮาและปรบมือกันเกรียวกราวจากชาวไทย ก่อนจะส่งท้ายด้วยการออกมาร่วมฟ้อนรำตามฉบับของชาวมาเลย์ ด้วยบรรยากาศของมิตรภาพและความอบอุ่นระหว่างเพื่อนบ้านใกล้เคียงกัน
เช้าอันสดใสหลังคืนวันฉ่ำฝน หน้าโรงแรมจอดเต็มไปด้วย “สามล้อแบบมะละกา” ที่ตกแต่งไปด้วยดอกไม้พลาสติกสวยงาม เพื่อนำซูเปอร์แฟนอีซูซุและสื่อมวลชน ตระเวนชมเมืองเก่าและสถาปัตยกรรมที่สำคัญในเมืองมะละกา ไม่ว่าจะเป็น “A’Famosa” ป้อมปราการที่สร้างขึ้นโดยนายพลเรือโปรตุเกสในปี ค.ศ.1511 ที่เบื้องหลังสามารถเดินขึ้นไปบนเนินเขา ซึ่งสามารถมองลงมาเห็นเมืองมะละกาโดยรอบ อีกทั้งเมื่อข้ามจากเนินเขาไปอีกฟากจะได้พบโบสถ์ “St. Paul” โบสถ์โบราณที่สร้างขึ้นโดยกัปตันดูอาร์เต้ โคเอลโฮ (Duate Coelho) ชาวโปรตุเกสในปี ค.ศ.1521 ต่อมาชาวดัตช์เข้าปกครองได้เปลี่ยนชื่อเป็น St. Paul และใช้โบสถ์แห่งนี้ประกอบศาสนกิจนานถึง 112 ปี ด้านหน้าโบสถ์มีรูปปั้นของนักบุญ St. Francis Xavier นักบวชชาวสเปน ผู้ได้ขนานนามว่า “ผู้เผยแพร่ศาสนาคริสต์แห่งโลกตะวันออก” ตั้งอยู่ด้วย
จากนั้นจึงนั่งรถสามล้อไปชมบริเวณจัตุรัสดัตช์ (Dutch Square) ที่ตั้งของ “สตัดธิวส์” (The Stadthuys) อาคารสไตล์ดัตช์ที่เก่าแก่ที่สุดในเอเชีย ด้วยทักษะงานไม้โบราณที่ยอดเยี่ยม ปัจจุบันเป็นพิพิธภัณฑ์ทางประวัติศาสตร์ โบราณคดี และวรรณคดี
นอกจากนี้ยังเป็นที่ตั้งของ “โบสถ์คริสต์เมืองมะละกา” (Christ Church) โบสถ์สีแดงสไตล์ดัตช์ประยุกต์ สร้างจากอิฐสีชมพูที่นำมาจากประเทศฮอลแลนด์และเชื่อมด้วยปูนสีแดง มีสิ่งที่น่าสนใจ คือ คานเพดานทำจากไม้ชิ้นเดียวไม่มีข้อต่อ, คัมภีร์ไบเบิลทองเหลือง และภาพวาด “The Last Supper” บนกระเบื้องเคลือบเงาเหนือแท่นบูชา อีกทั้งยังมีหอระฆัง และเครื่องบอกทิศทางลมรูปไก่แจ้บนยอดหลังคาที่สร้างในสมัยที่ชาวอังกฤษเข้ามาบูรณะโบสถ์อีกด้วย
เมื่อเยี่ยมชมถ่ายภาพกันจนใช้พลังงานไปหมด ขบวนคาราวานสามล้อจึงไปเติมพลังกันที่ร้าน “Famosa Chicken Rice Ball” ร้านเก่าแก่ในบริเวณไชน่าทาวน์ ด้วย “ข้าวมันไก่” สไตล์มะละกา ซึ่งมีลักษณะของข้าวมันที่นำมาปั้นเป็นลูกกลมๆ ทานกับไก่ต้มหรือไก่อบ จิ้มกับพริกน้ำส้มผสมซีอิ๊วดำ ตบท้ายด้วย Rak Sa น้ำแข็งใสใส่ลอดช่อง ถั่วแดงหลวง ราดน้ำกะทิเข้มข้น อร่อยชื่นใจดีจริงๆ
นับเป็นมื้อปิดท้ายแสนอร่อยในเมืองมะละกา ก่อนที่ขบวนอีซูซุ ซูเปอร์คอมมอนเรล คาราวานสัญจร จะเดินทางต่อในช่วงบ่ายย้อนกลับกัวลาลัมเปอร์ เพื่อผ่านไปยัง “เก็นติ้ง ไฮแลนด์” สวรรค์บนดินที่มีหมอกปกคลุมตลอดทั้งปี เพื่อให้สมาชิกคาราวานได้ใช้เงินส่งท้ายทริปในมาเลเซีย ทั้งการชอปปิ้ง และเข้าไปเสี่ยงโชคในบ่อนกาสิโน
ผ่านค่ำคืนสุดท้ายในประเทศมาเลเซีย บนสวรรค์เก็นติ้งไฮแลนด์ จากการสอบถามหลายๆ คน กลับดูเหมือนว่า... จะเป็นนรกเก็นติ้งไฮแลนด์มากกว่า เพราะปรากฎว่าต่างกระเป๋าฉีกกันถ้วนหน้า!!