ล่มสลายไปแล้วครั้งหนึ่ง แต่ทว่าด้วยชื่อชั้นที่ยังดูดีและมีคุณค่า ทำให้แบรนด์เดอโทมาโซ่ได้มีโอกาสกลับมาโลดแล่นอีกครั้ง ซึ่งแบรนด์คลาสสิกที่ถูกก่อตั้งในปี 1959 จะเริ่มรุกตลาดรถยนต์ระดับหรูในปีหน้า ด้วย 3 ผลผลิตใหม่ และที่เห็นอยู่นี้คือ ผลผลิตแรกที่จะลงสู่ตลาด
เดอ โทมาโซ่ถูกก่อตั้งขึ้นมาโดย Alejandro de Tomaso ซึ่งเป็นนักแข่งสายเลือดอาร์เจนตินา-อิตาลี ที่ผันตัวเองมาทำธุรกิจรถยนต์ ซึ่งในช่วงแรกๆ ทุกอย่างดูจะไปได้สวยถึงขนาดเคยถือครองสิทธิ์แบรนด์มาเซราติ และมอเตอร์ไซค์อิตาเลี่ยนอย่างโมโต กุซซี่นานกว่า 23 ปี แต่สุดท้ายเมื่อเข้าสู่ยุค 2000 ที่การแข่งขันมีความรุนแรงขึ้น เดอ โทมาโซ่ก็ไม่สามารถยืนระยะได้ และทำให้บริษัทขาดทุนสะสมจนต้องปิดตัวลงไป
จนกระทั่งในปี 2008 นักธุรกิจอย่าง Gian Mario Rossignolo ได้ปัดฝุ่นนำชื่อนี้กลับมาอีกครั้ง และในปีต่อมาเขาประสานกับทางพินินฟารินาในการจัดเตรียมการสร้างสรรค์ผลผลิตใหม่ของเดอ โทมาโซ่ที่จะขายผ่านทางบริษัทใหม่อย่าง De Tomaso Automobili SpA.
Deauville Concept ที่เปิดตัวในเจนีวา 2011 คือ บทสรุปแรกของความร่วมมือนี้ และรถยนต์ต้นแบบรุ่นนี้จะถูกพัฒนาอย่างต่อเนื่องเพื่อนำไปสู่การเป็น 1 ใน 3 ผลผลิตหลักของเดอ โทมาโซ่ในการคัมแบ็กสู่ตลาดหรู โดยที่เหลืออีก 2 ผลิตภัณฑ์ จะเป็นเอสยูวี และรถสปอร์ต
รวมๆ กันแล้ว เดอ โทมาโซ่คาดหมายยอดขายรวมกันของรถยนต์ทั้ง 3 แบบอยู่ที่ 8,000 คันต่อปี แบ่งเป็นรถยนต์หรู 5 ประตูกับเอสยูวีอย่างละ 3,000 คัน และอีก 2,000 คันจากรถสปอร์ต...ถือว่าไม่มากเท่าไร แต่ก็มากพอที่จะทำให้เดอ โทมาโซ่ก้าวข้ามจากการเป็นบริษัทรถยนต์ที่รุกตลาด Niche มาสู่ตลาดที่กว้างขึ้น
Deauville ใช้โครงสร้างแชสซีส์ที่ผลิตจากอะลูมิเนียมด้วยเทคโนโลยีขึ้นรูปที่เรียกว่า UNIVIS ตัวถังเป็นแบบรถยนต์แบบ 5 ประตูคล้ายกับบีเอ็มดับเบิลยู ซีรีส์ 5 จีที โดยมีความยาว 5,080 มิลลิเมตร กว้าง 1,950 มิลลิเมตร และสูง 1,630 มิลลิเมตร ส่วนเครื่องยนต์แม้ยังไม่เปิดเผย แต่คาดว่าจะมีขาย 3 รุ่นเป็นเบนซิน 2 รุ่นมีความแรง 300 และ 500 แรงม้า ส่วนอีกรุ่นเป็นเทอร์โบดีเซลของ M Motori มีกำลัง 250 แรงม้า และขับเคลื่อนในแบบ 4 ล้อตลอดเวลา
ปีที่เปิดตัวรุ่นจำหน่ายจริงออกขายน่าจะอยู่ราวๆ 2013 และเมื่อถึงตอนนั้น ตลาดรถยนต์หรูของโลกคงจะมีสีสันใหม่ๆ เพิ่มขึ้นมากกว่าชื่อที่คุ้นหูอย่างเบนท์ลีย์, เมอร์เซเดส-เบนซ์, บีเอ็มดับเบิลยู และออดี้
เดอ โทมาโซ่ถูกก่อตั้งขึ้นมาโดย Alejandro de Tomaso ซึ่งเป็นนักแข่งสายเลือดอาร์เจนตินา-อิตาลี ที่ผันตัวเองมาทำธุรกิจรถยนต์ ซึ่งในช่วงแรกๆ ทุกอย่างดูจะไปได้สวยถึงขนาดเคยถือครองสิทธิ์แบรนด์มาเซราติ และมอเตอร์ไซค์อิตาเลี่ยนอย่างโมโต กุซซี่นานกว่า 23 ปี แต่สุดท้ายเมื่อเข้าสู่ยุค 2000 ที่การแข่งขันมีความรุนแรงขึ้น เดอ โทมาโซ่ก็ไม่สามารถยืนระยะได้ และทำให้บริษัทขาดทุนสะสมจนต้องปิดตัวลงไป
จนกระทั่งในปี 2008 นักธุรกิจอย่าง Gian Mario Rossignolo ได้ปัดฝุ่นนำชื่อนี้กลับมาอีกครั้ง และในปีต่อมาเขาประสานกับทางพินินฟารินาในการจัดเตรียมการสร้างสรรค์ผลผลิตใหม่ของเดอ โทมาโซ่ที่จะขายผ่านทางบริษัทใหม่อย่าง De Tomaso Automobili SpA.
Deauville Concept ที่เปิดตัวในเจนีวา 2011 คือ บทสรุปแรกของความร่วมมือนี้ และรถยนต์ต้นแบบรุ่นนี้จะถูกพัฒนาอย่างต่อเนื่องเพื่อนำไปสู่การเป็น 1 ใน 3 ผลผลิตหลักของเดอ โทมาโซ่ในการคัมแบ็กสู่ตลาดหรู โดยที่เหลืออีก 2 ผลิตภัณฑ์ จะเป็นเอสยูวี และรถสปอร์ต
รวมๆ กันแล้ว เดอ โทมาโซ่คาดหมายยอดขายรวมกันของรถยนต์ทั้ง 3 แบบอยู่ที่ 8,000 คันต่อปี แบ่งเป็นรถยนต์หรู 5 ประตูกับเอสยูวีอย่างละ 3,000 คัน และอีก 2,000 คันจากรถสปอร์ต...ถือว่าไม่มากเท่าไร แต่ก็มากพอที่จะทำให้เดอ โทมาโซ่ก้าวข้ามจากการเป็นบริษัทรถยนต์ที่รุกตลาด Niche มาสู่ตลาดที่กว้างขึ้น
Deauville ใช้โครงสร้างแชสซีส์ที่ผลิตจากอะลูมิเนียมด้วยเทคโนโลยีขึ้นรูปที่เรียกว่า UNIVIS ตัวถังเป็นแบบรถยนต์แบบ 5 ประตูคล้ายกับบีเอ็มดับเบิลยู ซีรีส์ 5 จีที โดยมีความยาว 5,080 มิลลิเมตร กว้าง 1,950 มิลลิเมตร และสูง 1,630 มิลลิเมตร ส่วนเครื่องยนต์แม้ยังไม่เปิดเผย แต่คาดว่าจะมีขาย 3 รุ่นเป็นเบนซิน 2 รุ่นมีความแรง 300 และ 500 แรงม้า ส่วนอีกรุ่นเป็นเทอร์โบดีเซลของ M Motori มีกำลัง 250 แรงม้า และขับเคลื่อนในแบบ 4 ล้อตลอดเวลา
ปีที่เปิดตัวรุ่นจำหน่ายจริงออกขายน่าจะอยู่ราวๆ 2013 และเมื่อถึงตอนนั้น ตลาดรถยนต์หรูของโลกคงจะมีสีสันใหม่ๆ เพิ่มขึ้นมากกว่าชื่อที่คุ้นหูอย่างเบนท์ลีย์, เมอร์เซเดส-เบนซ์, บีเอ็มดับเบิลยู และออดี้