xs
xsm
sm
md
lg

Volks XL1 Concept : รับมือวิกฤตน้ำมัน

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


แน่นอนว่า ณ ปัจจุบันนี้ ทุกฝ่ายไม่ว่าจะเป็นผู้ผลิตรถยนต์จากภูมิภาคไหนของโลก ต่างมองเห็นถึงสิ่งที่เรียกว่าเป็นวิกฤตทางด้านพลังงาน โดยเฉพาะเรื่องของปัญหาน้ำมันที่กำลังลดลงอย่างต่อเนื่อง เพียงแต่เมื่อมองเห็นปัญหาแล้ว แต่ละค่ายต่างก็มีกลยุทธ์หรือทางออกในการนำเสนอเพื่อช่วงชิงความเป็นผู้นำในด้านเทคโนโลยีและต่อเนื่องไปยังการเป็นผู้นำในด้านการตลาด

รถยนต์ไฟฟ้า คือ แสงสว่างตรงปลายทางอุโมงค์ที่หลายค่ายให้ความสำคัญ ขณะที่รถยนต์ไฮบริดแบบเสียบปลั๊ก หรือ PHEV รวมถึงรถยนต์แบบ E-REV (Extended Range Electric Vehicle) ซึ่งมีแนวคิดคล้ายกัน ก็คือ อีกทางออกที่สามารถชะลอการใช้น้ำมัน และถูกมองว่าเป็นทางสายกลางที่จะช่วยทำให้ผู้คนทั่วโลกสามารถสร้างความคุ้นเคยกับเทคโนโลยีใหม่ๆ ก่อนที่จะถึงยุคของการปฏิวัติขุมพลังในการขับเคลื่อนของรถยนต์อย่างแท้จริง

สำหรับเทคโนโลยี E-REV เชฟโรเลต โวลต์ คือ ผู้บุกเบิกในการสานฝันแนวคิดนี้ให้กลายเป็นจริง และหลายค่ายก็ให้ความสนใจอย่างมาก เพราะเป็นการปรับขีดความสามารถของเทคโนโลยี Series Hybrid ให้เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะแง่ของการขับเคลื่อนซึ่งสามารถเพิ่มระยะทางในการเดินทางได้มากขึ้นอันเป็นการก้าวข้ามข้อจำกัดของรถยนต์ไฟฟ้าแบบเดิมๆ

แน่นอนว่าเทคโนโลยีนี้น่าสนใจ และโฟล์คสวาเกนก็เป็นผู้ผลิตรถยนต์อีกรายที่กำลังจะพัฒนาผลผลิตนี้ออกสู่ตลาดด้วยเช่นกัน ซึ่งตรงนี้ถือว่าเป็นการเปลี่ยนจากความตั้งใจเดิมซึ่งพวกเขาคิดที่จะพัฒนารถยนต์สุดประหยัดที่ใช้เครื่องยนต์เทอร์โบดีเซลในการขับเคลื่อน


โปรเจ็กต์ที่ว่าคือการสานต่อแนวคิดของรถยนต์ 1-Litre Car จากต้นแบบในปี 2002 ให้กลายเป็นความจริง ซึ่งในปี 2009 ซึ่งโฟล์คฯ เผยผลผลิตที่ 2 ในชื่อ L1 ออกมานั้น พวกเขาคอนเฟิร์มว่าจะผลิตออกขายอย่างแน่นอน และ XL1 Concept ซึ่งเป็นผลผลิตชิ้นที่ 3 คือ หลักฐานชั้นดีสำหรับการระบุให้เห็นถึงความคืบหน้าของโครงการ เพราะนี่คือ ต้นแบบที่มีเค้าโครงใกล้เคียงกับความเป็นจริง และที่สำคัญคือ แนวคิดของขุมพลังในการขับเคลื่อนถูกเปลี่ยนแปลงจากเทอร์โบดีเซลมาใช้เทคโนโลยี E-REV แทน

XL1 Concept ถูกเผยโฉมงานมอเตอร์โชว์ที่กาต้าร์ เมื่อปลายเดือนมกราคมที่ผ่านมา เพื่อยืนยันให้เห็นว่าโฟล์คฯ ยังเดินหน้าสานต่อรถยนต์พลังงานทางเลือกออกมาขายในตลาดอย่างแน่นอน โดยสิ่งที่เปลี่ยนไปอย่างชัดเจนจากต้นแบบทั้ง 2 รุ่น คือ เค้าโครงของตัวรถที่มีความใกล้เคียงกับการขายจริงในตลาด โดยเฉพาะการปรับตำแหน่งเบาะนั่งจากเดิมที่ต้องนั่งเรียงแถวกันเหมือนกับพวกเลื่อนน้ำแข็ง หรือ Bobsled มาเป็นแบบ 2 ที่นั่ง และนั่งคู่กันทางด้านหน้า


ที่โดดเด่นและสะดุดตาสุดคือ การออกแบบรูปลักษณ์ภายนอกที่จะต้องเน้นความเพรียวลมมากที่สุด เพื่อลดอัตราการบริโภคกระแสไฟฟ้าในขณะขับเคลื่อน โดยตัวรถมีลักษณะคล้ายกับหัวกระสุนพร้อมกับค่าสัมประสิทธิ์แรงต้านทานอากาศ หรือ Cd ในระดับ 0.186 ขณะเดียวกันโฟล์คฯ เลือกนำวัสดุที่มีน้ำหนักเบาอย่างคาร์บอนไฟเบอร์ CFRP มาใช้ในการผลิตชิ้นส่วนตัวถังเพื่อทำให้ตัวรถเบาที่สุดเท่าที่จะทำได้ ผลที่ได้คือ น้ำหนักเพียงแค่ 796 กิโลกรัม หรือ 1,753 ปอนด์เท่านั้น

ในแง่ของเทคโนโลยีการขับเคลื่อน จากเดิมที่โฟล์คฯ เชื่อมั่นว่าการพัฒนารถยนต์แบบ 1 Litre Car หรือน้ำมันเชื้อเพลิง 1 ลิตรขับได้ 100 กิโลเมตร คือ ทางออกที่น่าสนใจ แต่เมื่อยุคสมัยเปลี่ยนไป แนวคิดนี้ได้ถูกปรับมาเพื่อให้สอดคล้องกับสิ่งที่เกิดขึ้นจริง และโฟล์คฯ เลือกนำเทคโนโลยี E-REV มาใช้แทนที่เครื่องยนต์เทอร์โบดีเซล


หน้าที่ในการขับเคลื่อนตัวรถเป็นมอเตอร์ไฟฟ้า E-Motor ขนาด 27 แรงม้า ส่วนงานผลิตกระแสไฟฟ้ามาเพื่อเก็บในแบตเตอรี่แบบลิเธียม-ไอออนเป็นของเครื่องยนต์ 2 สูบ 800 ซีซี 48 แรงม้า ซึ่งถูกปรับปรุงมาจากเครื่องยนต์เทอร์โบดีเซลแบบ 4 สูบ 1,600 ซีซีที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน และส่งกำลังด้วยเกียร์แบบ DSG 7 จังหวะ และเห็นม้าน้อยๆ อย่างนี้อย่าเพิ่งดูถูกเรื่องสมรรถนะ เพราะว่าตัวรถสามารถแล่นจาก 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมงใน 11.9 วินาที ส่วนความเร็วปลายอยู่ที่ 160 กิโลเมตร/ชั่วโมง

หลักการทำงานไม่ต่างจากรถยนต์แบบ E-REV คือ ในช่วงการขับครั้งแรกเมื่อสตาร์ท ตัวรถจะอาศัยกระแสไฟฟ้าที่มีอยู่ในแบตเตอรี่สำหรับส่งให้ใช้ในการขับเคลื่อน ซึ่งถ้าชาร์จเต็ม XL1 Concept ก็จะวิ่งได้ 35 กิโลเมตร ก่อนที่จะปลุกเครื่องยนต์เทอร์โบดีเซลให้ตื่นขึ้นมาชาร์จกระแสไฟฟ้าเพื่อชดเชยกับที่เสียไป ถ้าน้ำมันหมดก็แวะปั๊มเติมได้

ถังน้ำมันของตัวรถมีขนาด 10 ลิตรเมื่อคำนวนจากการทดสอบของโฟล์คฯ แล้ว น้ำมัน 1 ถัง สามารถพา XL1 Concept แล่นทำระยะทางได้ 341 ไมล์ หรือ 548 กิโลเมตร และแม้จะไม่ใช่รถยนต์ไฟฟ้าพันธุ์แท้ แต่ทว่า XL1 Concept ก็มีการคายไอเสียในระดับต่ำ โดยปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ออกมาเพียง 24 กรัมต่อการใช้งาน 1 กิโลเมตรเท่านั้นเอง

การขายจริงมีแน่นอน และคาดว่าน่าจะอยู่ในราวๆ ปี 2013 ส่วนราคา ว่ากันว่าจะอยู่ในระดับเพียง 27,000 เหรียญสหรัฐฯ หรือ 810,000 บาทเท่านั้นเอง ถือว่าถูกกว่าโวลต์หลายพันเหรียญเลยทีเดียว
กำลังโหลดความคิดเห็น