ข่าวต่างประเทศ - ก่อนหน้านี้เคยมีข่าวว่าจะจับมือกับจีเอ็มถึงขนาดทำวิจัยร่วมกันนาน 3 เดือนก่อนที่โปรเจ็กต์จะพับลงไป แต่ทางด้านคาร์ลอส กอนส์ บอสส์ใหญ่ของนิสสัน-เรโนลต์ยังไม่ยอมแพ้ เผยยังมองหาพันธมิตรใหม่มาร่วมงานในการผลิตรถยนต์และแชร์เทคโนโลยีร่วมกันเพื่อใช้แนวทาง Economic of Scale หรือความประหยัดจากขนาดการผลิต มาช่วยเพิ่มข้อได้เปรียบในการทำตลาด
ตอนนี้เรามีโอกาสได้พบปะและพูดคุยกับผู้คนมากหน้าหลายตา และแนวทางของเราตอนนี้ เกี่ยวข้องกับเรื่องของ ‘ขนาดการผลิต’ ‘การลงทุนร่วมกัน’ และ ‘การแชร์เทคโนโลยี’ ซึ่งคุณจะต้องแปลกใจอย่างมากเมื่อพบว่าผู้คนที่ผมเจอต่างให้ความสนใจและมีจำนวนมากมายแค่ไหน’ กอนส์กล่าวให้สัมภาษณ์
ตามแนวคิดของกอนส์ ซึ่งได้ชื่อว่า The Cost Killer หรือเป็นนักลดต้นทุนตัวยงนั้น เขาเชื่อว่าการที่พันธมิตรเข้ามาร่วมในการพัฒนาพื้นตัวถังและเครื่องยนต์จะมีส่วนสำคัญอย่างมากในการสร้างความได้เปรียบในเชิงการตลาด และเป็นสิ่งที่เขาให้ความสนใจเป็นอันดับแรกสำหรับการบริหารกิจการของนิสสัน-เรโนลต์ตอนนี้ โดยก่อนหน้านี้ทั้งนิสสันและเรโนลต์ต่างตกเป็นข่าวลือเกี่ยวกับการจับมือกับพันธมิตรใหม่ๆ
เช่นรายของนิสสันตกเป็นข่าวกับ Ashok Leyland ผู้ผลิตรถยนต์ของอินเดียในการพัฒนารถยนต์ขนาดเล็กสำหรับขายตลาดทั่วโลก เช่นเดียวกับที่ตกเป็นข่าวกับทางเดมเลอร์ เอจีในการจับมือพัฒนาโปรเจ็กต์นี้ ซึ่งทางเดมเลอร์จะนำไปใช้เป็นโมเดลเชนจ์ของสมาร์ท คาร์อย่างฟอร์ทู ที่อยู่ในตลาดมาตั้งแต่ปี 1998 ส่วนทางเรโนลต์ก็เคยมีข่าวลือว่าจะเข้ามาซื้อกิจการของแซทเทิร์นของจีเอ็มปีที่แล้ว แต่สุดท้ายก็เป็นแค่ข่าวลือเท่านั้น
‘ถ้าคุณสามารถมองหาพันธมิตรรายที่ 3 เข้ามาร่วมมือในการทำงาน นั่นจะทำให้คุณมีความได้เปรียบอย่างมาก และตรงนี้ถือเป็นกลยุทธ์ที่มีความสำคัญและทางเราให้ความสนใจอย่างมาก’ กอนส์กล่าวเพิ่มเติม แต่ตัวเขายังไม่ระบุว่าตัวเลือกที่นิสสัน-เรโนลต์ให้ความสนใจในการร่วมเป็นพันธมิตรคือใคร
นอกจากนั้น กอนส์ยังเชื่อว่าเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ที่บริษัทรถยนต์ซึ่งมีขนาดเล็กจะกล้าควักเงินจำนวนมากเพื่อเทลงไปที่โครงการพัฒนารถยนต์ที่ยังไม่เห็นดอกเห็นผลอย่างรถยนต์พลังไฟฟ้า, เทคโนโลยีแบตเตอรี่ หรือรถยนต์ที่ใช้เอธานอลเป็นเชื้อเพลิง รวมถึงการทำอะไรหลายๆ อย่างในเวลาเดียวกัน เช่นทั้งทุ่มเงินในด้านเทคโนโลยี แล้วก็บุกเข้าตลาดรถยนต์เกิดใหม่เช่น รัสเซีย, จีน และอินเดีย โดยที่จะต้องต่อกรกับคู่แข่งในตลาดสำคัญๆ ทั่วโลก โดยตามแผนการของกอนส์เขาต้องการผลิตรถยนต์พลังไฟฟ้าสำหรับขายในตลาดรถยนต์อย่างสหรัฐอเมริกา, ยุโรป และญี่ปุ่นในระดับ 500,000 คันต่อปีภายในอีก 2-3 ปีข้างหน้า
‘ผู้ผลิตรถยนต์ทุกรายไม่สามารถที่จะอยู่ในทุกที่ได้ คุณต้องจัดการกำหนดสถานะของตัวเองให้แน่นอน และอาศัยแรงเกื้อหนุนจากพันธมิตรในการสานต่อโครงการต่างๆ ซึ่งเรากำลังเจรจากับพันธมิตรหลายรายทั้งซัพพลายเอออร์ และผู้ผลิตรถยนต์เพื่อให้เอื้อประโยชน์จากเรื่องเหล่านี้’ กอนส์กล่าว
ที่สำคัญกอนส์กลับไม่เชื่อเรื่องของการควบรวมกิจการ เพราะเขากล่าวว่าในประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา การควบรวมกิจการมักจะไม่ประสบความสำเร็จ โดยดูจากตัวอย่างของเดมเลอร์ กับไครสเลอร์ หรือฟอร์ด กับบรรดาแบรนด์รถยนต์อย่างจากัวร์, แลนด์โรเวอร์ และแอสตัน มาร์ติน ซึ่งเขาไม่คิดจะนำแนวทางนี้มาใช้กับนิสสัน-เรโนลต์ รวมถึงพันธมิตรรายใหม่ของพวกเขาอย่างแน่นอน
ตอนนี้เรามีโอกาสได้พบปะและพูดคุยกับผู้คนมากหน้าหลายตา และแนวทางของเราตอนนี้ เกี่ยวข้องกับเรื่องของ ‘ขนาดการผลิต’ ‘การลงทุนร่วมกัน’ และ ‘การแชร์เทคโนโลยี’ ซึ่งคุณจะต้องแปลกใจอย่างมากเมื่อพบว่าผู้คนที่ผมเจอต่างให้ความสนใจและมีจำนวนมากมายแค่ไหน’ กอนส์กล่าวให้สัมภาษณ์
ตามแนวคิดของกอนส์ ซึ่งได้ชื่อว่า The Cost Killer หรือเป็นนักลดต้นทุนตัวยงนั้น เขาเชื่อว่าการที่พันธมิตรเข้ามาร่วมในการพัฒนาพื้นตัวถังและเครื่องยนต์จะมีส่วนสำคัญอย่างมากในการสร้างความได้เปรียบในเชิงการตลาด และเป็นสิ่งที่เขาให้ความสนใจเป็นอันดับแรกสำหรับการบริหารกิจการของนิสสัน-เรโนลต์ตอนนี้ โดยก่อนหน้านี้ทั้งนิสสันและเรโนลต์ต่างตกเป็นข่าวลือเกี่ยวกับการจับมือกับพันธมิตรใหม่ๆ
เช่นรายของนิสสันตกเป็นข่าวกับ Ashok Leyland ผู้ผลิตรถยนต์ของอินเดียในการพัฒนารถยนต์ขนาดเล็กสำหรับขายตลาดทั่วโลก เช่นเดียวกับที่ตกเป็นข่าวกับทางเดมเลอร์ เอจีในการจับมือพัฒนาโปรเจ็กต์นี้ ซึ่งทางเดมเลอร์จะนำไปใช้เป็นโมเดลเชนจ์ของสมาร์ท คาร์อย่างฟอร์ทู ที่อยู่ในตลาดมาตั้งแต่ปี 1998 ส่วนทางเรโนลต์ก็เคยมีข่าวลือว่าจะเข้ามาซื้อกิจการของแซทเทิร์นของจีเอ็มปีที่แล้ว แต่สุดท้ายก็เป็นแค่ข่าวลือเท่านั้น
‘ถ้าคุณสามารถมองหาพันธมิตรรายที่ 3 เข้ามาร่วมมือในการทำงาน นั่นจะทำให้คุณมีความได้เปรียบอย่างมาก และตรงนี้ถือเป็นกลยุทธ์ที่มีความสำคัญและทางเราให้ความสนใจอย่างมาก’ กอนส์กล่าวเพิ่มเติม แต่ตัวเขายังไม่ระบุว่าตัวเลือกที่นิสสัน-เรโนลต์ให้ความสนใจในการร่วมเป็นพันธมิตรคือใคร
นอกจากนั้น กอนส์ยังเชื่อว่าเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ที่บริษัทรถยนต์ซึ่งมีขนาดเล็กจะกล้าควักเงินจำนวนมากเพื่อเทลงไปที่โครงการพัฒนารถยนต์ที่ยังไม่เห็นดอกเห็นผลอย่างรถยนต์พลังไฟฟ้า, เทคโนโลยีแบตเตอรี่ หรือรถยนต์ที่ใช้เอธานอลเป็นเชื้อเพลิง รวมถึงการทำอะไรหลายๆ อย่างในเวลาเดียวกัน เช่นทั้งทุ่มเงินในด้านเทคโนโลยี แล้วก็บุกเข้าตลาดรถยนต์เกิดใหม่เช่น รัสเซีย, จีน และอินเดีย โดยที่จะต้องต่อกรกับคู่แข่งในตลาดสำคัญๆ ทั่วโลก โดยตามแผนการของกอนส์เขาต้องการผลิตรถยนต์พลังไฟฟ้าสำหรับขายในตลาดรถยนต์อย่างสหรัฐอเมริกา, ยุโรป และญี่ปุ่นในระดับ 500,000 คันต่อปีภายในอีก 2-3 ปีข้างหน้า
‘ผู้ผลิตรถยนต์ทุกรายไม่สามารถที่จะอยู่ในทุกที่ได้ คุณต้องจัดการกำหนดสถานะของตัวเองให้แน่นอน และอาศัยแรงเกื้อหนุนจากพันธมิตรในการสานต่อโครงการต่างๆ ซึ่งเรากำลังเจรจากับพันธมิตรหลายรายทั้งซัพพลายเอออร์ และผู้ผลิตรถยนต์เพื่อให้เอื้อประโยชน์จากเรื่องเหล่านี้’ กอนส์กล่าว
ที่สำคัญกอนส์กลับไม่เชื่อเรื่องของการควบรวมกิจการ เพราะเขากล่าวว่าในประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา การควบรวมกิจการมักจะไม่ประสบความสำเร็จ โดยดูจากตัวอย่างของเดมเลอร์ กับไครสเลอร์ หรือฟอร์ด กับบรรดาแบรนด์รถยนต์อย่างจากัวร์, แลนด์โรเวอร์ และแอสตัน มาร์ติน ซึ่งเขาไม่คิดจะนำแนวทางนี้มาใช้กับนิสสัน-เรโนลต์ รวมถึงพันธมิตรรายใหม่ของพวกเขาอย่างแน่นอน
