xs
xsm
sm
md
lg

“เก่าแต่เก๋า” สไตล์เผ็ดร้อนแบบ ภูมิปัญญาตะวันออก

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


เนื่องด้วยการจากไปของ “สายัณห์ เล็กอุทัย” ผู้อำนวยการฝ่ายเทคนิค เอเอสทีวี และคอลัมนิสต์ “คารวะบรรพบุรุษ” นำเสนอปรัชญาภูมิปัญญาตะวันออก ที่รู้จักกันดีในหนังสือพิมพ์ผู้จัดการรายวัน วันนี้ “เซกชั่นมอเตอริ่ง” ขอย้อนรำลึกถึงความเป็นนักคิด นักสร้างสรรค์ และนักสะสมรถตัวยงของ “สายัณห์ เล็กอุทัย” ซึ่งเคยให้สัมภาษณ์ “ผู้จัดการมอเตอริ่ง” เมื่อวันที่ 14 มีนาคม 2544 และวันที่ 14 สิงหาคม 2545 เพื่อให้ผู้อ่านได้ทราบถึงชีวิตอีกมุมหนึ่งของเขา

“เก่าแต่เก๋า” สไตล์เผ็ดร้อนแบบ ภูมิปัญญาตะวันออก

ถ้ายึดคำพูดอมตะที่ว่า “รถยนต์ คือภาพสะท้อนถึงตัวตนของผู้เป็นเจ้าของ”

ใครที่ได้เห็นเจ้าเต่าทองคันนี้ ร้อยทั้งร้อยต้องปักใจเชื่อหรือฟันธงลงไปทันทีอย่างไม่ลังเลเลยว่า เจ้าของจะต้องเป็นทหาร หรืออย่างน้อยที่สุดคงต้องเคยคลุกคลีอยู่กับแวดวงนี้มาก่อนไม่มากก็น้อยและแน่นอนที่สุดว่า จะต้องเป็นแฟนพันธุ์แท้ของโฟล์คเต่า หรือ Beetle Mania

แต่ขอโทษ....จงอย่าเชื่อในสิ่งที่ได้เจอ เพียงเพราะนั่นคือ สิ่งที่คุณได้เห็นกับตาเท่านั้น ทุกสิ่งอาจไม่เป็นจริงอย่างที่คิดก็ได้

สายัณห์ เล็กอุทัย นักเขียนจากคอลัมน์ “ภูมิปัญญาตะวันออก” ในหนังสือพิมพ์ ผู้จัดการรายวัน” กลับมาอีกครั้ง หลังจากเคยกระชากความสนใจจากทุกสายตาบนท้องถนนมาแล้ว ด้วยแนวคิดที่ฉีกตำราการแต่งรถทุกเล่ม กับโฟล์ค บีทเทิล หรือโฟล์คเต่า คันสวยที่เคยตีพิมพ์ลงในปกหลังของเซกชัน “Motoring”

แต่คราวนี้มากับโปรเจกต์ใหม่ที่ไม่ธรรมดาและมีโฟล์คเต่า ซึ่งกลายมาเป็นพาหนะคู่กายโดยที่ตัวเขาเองก็ไม่ได้ตั้งใจที่จะให้เป็น กลับมาเป็นนายแบบของแผนงานนี้อีกครั้ง


ฉีกตำราการแต่งรถด้วยแนวคิดตะวันออก

โฟล์คเต่าคันนี้ไม่มีชื่อเรียก ใครจะเรียกว่าเจ้าเต่าเขียว เต่าทหาร หรือเต่าพิสดารก็ตามใจ แต่ที่แน่ ๆ สายัณห์ ซึ่งเป็นเจ้าของไม่ได้เป็นทหารแต่ (เคย) เป็นสถาปนิก และไม่เคยมีแบ็กกราวนด์ที่เกี่ยวข้องกับแวดวงนี้แต่อย่างใด ที่สำคัญเขาไม่เคยรักหรือคิดที่จะรักกับอมตะยานยนต์ที่ครองใจคนทั่วโลกจนมียอดขายกว่า 21 ล้านคัน และยังทำตลาดต่อเนื่องมากกว่าครึ่งศตวรรษจนถึงปัจจุบัน แต่ถึงขั้นเกลียดด้วยซ้ำเพราะความที่อืด เก่า และมีรูปทรงที่โบราณ ไม่เหมาะที่จะเป็นรถ

แต่สาเหตุที่ทำให้ต้องเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยก็เพราะ “ราคามันถูก” และเมื่อได้เห็นภาพถ่ายของผู้ให้กำเนิดโฟล์คเต่าอย่าง ดร. เฟอร์ดินันด์ พอร์ช ขณะยืนเคียงคู่กับอดอล์ฟ ฮิตเลอร์ ก็ยิ่งเป็นแรงกระตุ้นความท้าทาย และทำให้เขาเกิดความคิดที่จะอ่านใจด้วยการลองสมมติ (ตัวเอง) เข้าไปอยู่ในสมองของ ดร.พอร์ช แล้วตั้งคำถามขึ้นมาว่า

“จริง ๆแล้ว นายกำลังคิดอะไรอยู่ และยังเหลืออะไรอีกที่นายยังไม่ได้ทำกับรถรุ่นนี้ แล้วถ้าเราเอารถนายมาทำใหม่ มันจะต้องเป็นอย่างไร “


ด้วยความที่เป็นสถาปนิก จึงทำให้แนวคิดในการแต่งรถคันนี้ฉีกออกไป เมื่อได้โฟล์คเต่ามาอยู่ในมือแล้ว เขาจึงเริ่มถอดชิ้นส่วนต่าง ๆ ออกมา ลงทั้งแรงและพลังแห่งความคิดด้วยตัวเอง โดยมีบรรดาช่างแบบ “ลูกทุ่ง” และเด็ก ๆ แถวบ้านที่กลายมาเป็นช่างเพราะความจำเป็นเข้ามาเป็นผู้ช่วยในการสานความคิดให้เป็นจริง

นั่นจึงเป็นที่มาของการปฏิวัติแนวคิดของการแต่งรถที่อยู่บนพื้นฐานของประโยชน์การใช้งานเป็นหลักตามแนวทางของ “ภูมิปัญญาตะวันออก” หรือการดัดแปลงของที่มีอยู่รอบกายให้สามารถนำมาใช้งานได้ โดยใช้พลังแห่งความคิดและงบประมาณที่ไม่มากนักและไม่ยึดติดกับค่านิยมของวัตถุ แต่ก็ยังไม่ลืมความสะดุดตาที่พอใครได้เห็นแล้วไม่หันกลับมามองอีกครั้ง ก็เห็นที่จะแปลกเต็มที


ตัวจริงแห่งความอเนกประสงค์

จากโฟล์คเต่าที่มีอยู่ในครอบครองถึง 20 คัน และเอามาแต่งเพียง 10 คัน ภาพถ่ายของโฟล์คแต่ละคันที่สายัณห์ นำมาให้ชมแสดงถึงเอกลักษณ์ในการดัดแปลง แต่ที่เห็นแล้วสะดุดตามากที่สุดคือ โฟล์คเต่าที่ถูกเปิดหลังคาและแปลงร่างให้เป็นรถยนต์อเนกประสงค์ชนิดที่เพียบด้วยประโยชน์ใช้งาน ชนิดบรรดารถยนต์ประเภท SPORT UTILITY ราคาแพงหลักหลายล้านยังต้องอาย

มองจากด้านหน้า ลืมไปเลยว่านี่คือรถยนต์อะไร เพราะทุกชิ้นส่วนถูกดัดแปลงเพื่อความเหมาะสม แต่ในสไตล์ DUNE BEETLE หรือ เวอร์ชันสิงห์ทะเลทรายของโฟล์คเต่า แผ่นหลังคาและเสาหลังคาถูกหั่นออกกลายเป็นรถเปิดประทุนชนิดที่เขาไม่เคยกลัวว่า ฟ้าฝนจะทำอะไรได้ ฝากระโปรงท้ายถูกถอดออกและเปลี่ยนเป็นตะแกรงที่ถูกดัดให้มีรูปทรงคล้ายกับฝากระโปรงเดิม ซึ่งแน่นอนว่าช่วยในการระบายความร้อนของเครื่องยนต์สูบนอนของโฟล์คเต่าได้ดีขึ้น

ตามตัวถึงรอบคันได้รับการออกแบบให้เป็นที่ยึดติดของอุปกรณ์ที่มีความจำเป็นต่าง ๆ เช่นฝังเตาแก๊สไว้ในตัวถัง ประตูฝั่งคนขับถูกเจาะเป็นช่องสำหรับใช้เก็บอุปกรณ์และเครื่องมือต่าง ๆขณะที่ประตูทางด้านซ้ายนำจักรยานที่ถูกพ่นสีเขียวลายพรางเหมือนกับโฟล์คเต่ามายึดติดไว้


ซึ่งนอกจากจะกะสายตาแล้ว คงไม่มีใครคิดถึงประโยชน์ใช้สอยของเจ้า 2 ล้อที่ใช้แรงขาถีบนี้จนกว่าจะถึงคราวจำเป็น เมื่อรถเกิดเสียกลางทางแล้วต้องหาคนมาช่วยเหลือ และเมื่อถึงตอนนั้นก็คงสายไปเสียแล้วที่จะมานั่งนึกถึง ที่เด่นกว่านั้นคือ ตรงแผงประตูฝั่งเดียวกับจักรยานมีการนำเหล็กโค้งรูปตัว U มาวางไว้ ซึ่งก็นั่งเดาอยู่นานว่า นี่คืออะไร แล้วจะมีประโยชน์อะไรและมาถึงบางอ้อ เมื่อสายัณห์ เฉลยว่า สามารถถอดออกมาได้ เพื่อนำมาใช้เป็นเสาสำหรับยึดเปลเอาไว้นอนเล่นกินลม

อีกทั้งภายในตัวรถซึ่งเป็นแบบเปิดประทุนยังสามารถต่อเติมขึ้นไปเป็นที่นอนเล่นแบบพับได้ ด้วยการนำท่อนเหล็กต่าง ๆ มาประกอบขึ้นเพื่อเป็นชั้นลอยเหนือเบาะนั่ง และยังมีมุ้งครอบกันยุง มีบันไดสำหรับไต่ขึ้นไป ซึ่งทั้งหมดสามารถถอดและประกอบได้อย่างสะดวกและง่ายดาย


เรียกว่าถูกใจคนที่รักการนอนนอกบ้านรับสายลมและฟังเสียงเพรียกจากธรรมชาติ หรือถ้าหาเสียงที่แท้จริงจากธรรมชาติไม่ได้ ก็มีเครื่องเล่นซีดีแบบพกพาราคาพันกว่าบาทมาบรรเลงเพลงแบบ ATMOSPHERE MUSIC ให้เสียงธรรมชาติ ในการสร้างบรรยากาศ แม้จะไม่ชวนฝันเหมือนกับของจริง แต่ก็ช่วยได้ในระดับหนึ่ง

ข้างในห้องโดยสารก็คงสภาพเดิม ๆ มีการสาดสีเพียงเล็กน้อยให้เหมือนกับตัวถัง และแทบไม่มีอะไรติดตั้งเพิ่มเติมให้รกเกินความจำเป็นเพราะแต่งเพื่อใช้งานเป็นหลักจะมีก็แค่เครื่องปรับอากาศที่ช่วยคลายร้อน ซึ่งแม้ว่าเป็นรถเปิดประทุน แต่เมื่อขับอยู่กลางแดดเปรี้ยง ๆ เขาก็ยังเย็นสบายชนิดที่มอเตอร์ไซค์ซึ่งจอดเหงื่อแตกอยู่ข้าง ๆ ยังต้องหันมามองด้วยความแปลกใจ เพราะใช้เทคนิคในการต่อท่อแอร์ตรงเข้าสู่เสื้อคลุมที่ใส่อยู่


ขณะที่สิ่งของที่นำมาติดตั้งในรถส่วนใหญ่จะเป็นอุปกรณ์ที่ใช้อยู่ในวงการทหาร แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า เขาชื่นชอบในเรื่องเหล่านี้แต่อย่างใด เพราะสายัณห์อธิบายว่า ด้วยตัวเองเป็นสถาปนิกและรู้เกี่ยวกับเรื่องการออกแบบสิ่งของพวกนี้ซึ่งเป็นสิ่งของที่มีค่า มีประโยชน์ใช้สอยมาก ส่วนใหญ่แล้วของที่ผลิตขึ้นมาให้ทหารใช้จะต้องมีต้นทุนในการผลิตแพงกว่าเสื้อผ้าหรือสิ่งของทั่วไปหลายเท่าตัว เพราะถูกพัฒนาขึ้นมาเพื่อเน้นการใช้งานที่ทนทาน แต่มีราคาจำหน่ายที่ไม่สูงมากนัก

ส่วนการเลือกใช้สีเขียวลายพรางนั้นเกิดจากความชอบเพียงอย่างเดียว ซึ่งในมุมมองของเขา ลายพรางเป็นสีที่ทำยากที่สุดแต่ถ้าทำออกมาแล้วจะสวยที่สุด ซึ่งหลังจากตระเวนตามอู่พร้อมกับได้รับคำตอบที่ไม่มีเยื่อใย และค่าใช้จ่ายสูงชนิดจ่ายไป 1 แสนบาทมีทอนกลับมาไม่กี่บาท แถมยังใช้เวลานานในการทำหลายเดือน สายัณห์ จึงเลือกที่จะทำขั้นตอนนี้ด้วยตัวเองมาตลอดจนเกิดความเชี่ยวชาญ ชนิดที่ทำได้ 3-4 คันในวันเดียว โดยใช้นิ้วมือชี้และให้ลูกมือเดินถือกาพ่นสีทับนิ้วที่เล็งลงไปเพื่อแกะเป็นรอยก่อนที่จะลงรายละเอียดอีกครั้ง


ณ ตอนนี้ จึงไม่ใช่เรื่องเกินความจริงเลย ที่เขาจะบอกว่า ตัวเองเป็นที่หนึ่งในไทยของการพ่นสีแบบทหาร

สุขใจที่ได้แต่งรถ

“ผมไม่สนใจนะว่าโฟล์คเต่าที่มีอยู่จะเป็นปีอะไร หรือรุ่นอะไร เพราะทุกชิ้นส่วนถูกยำนำมาใช้ร่วมกันหมด”

ในความคิดของสายัณห์ การแต่งรถ ก็คืองานอดิเรกที่สร้างความสุข เมื่อได้ทำ ได้ซ่อม และได้ขับด้วยฝีมือของตนเอง ย่อมเป็นสิ่งที่ทำให้เกิดความสนุกและความผูกพัน ซึ่งจากเดิมมีความคิดที่ไม่เคยชอบโฟล์คเต่า กลับกลายเป็นว่าเขาหันมาชื่นชอบและติดใจยนตรกรรมจากเยอรมนียี่ห้อนี้

นอกจากนั้นการแต่งรถคันนี้ ยังเป็นการบอกนัยๆ ถึงเรื่องของการสลัดตัวให้หลุดพ้นจากวังวนของแนวคิดที่ยึดติดกับวัตถุมากเกินไป ซึ่งเขาบอกว่า “เมื่อใช้รถแล้ว ควรใช้หัวด้วย อย่าใช้แต่เงินอย่างเดียว เพราะเราตกเป็นทาสของสิ่งของพวกนี้มาเยอะแล้ว อย่าไปยึดติดมากจนเกินไป ผมเคยเห็นบางคนเฉี่ยวชนกันนิดหน่อย แต่ทะเลาะกันจนเกือบจะฆ่ากันกลางถนนอยู่แล้ว ซึ่งเมื่อก่อนผมก็เคยอยู่ในสภาพนี้เหมือนกัน แต่พอถึงจุด ๆ หนึ่ง ก็พ้นจากสภาพนี้ไปแล้ว


ตลอดระยะเวลาที่คลุกคลีอยู่กับการทำรถคันนี้ นอกจากการสานความคิดสร้างสรรค์ให้เป็นจริงแล้ว เขายังเขียนบทความลงในหนังสือพิมพ์ผู้จัดการควบคู่กันไปด้วย ทำให้รู้ว่า 2 สิ่งนี้มีความสัมพันธ์กัน ตัวใดตัวหนึ่งจะขาดซึ่งกันและกันไม่ได้ อันหนึ่งเป็นวัตถุ อีกอันเป็นปรัชญา

ทั้ง 2 สิ่งจึงถูกถ่ายทอดลงทั้งบนตัวรถและบทความของเขา จากสายตาและมุมมองที่แปลกไปด้วยการผสานแนวคิดของภูมิปัญญาตะวันออกให้เข้ากับวัตถุจากตะวันตกได้อย่างกลมกลืน

เขียนเมื่อวันพุธที่ 14 สิงหาคม 2545

กำลังโหลดความคิดเห็น