ใกล้ถึงวันงานโตเกียว มอเตอร์โชว์ 2009 จะเริ่มขึ้น แต่ทว่าในตอนนี้บริษัทผู้ผลิตรถยนต์สัญชาติญี่ปุ่นหลายรายเริ่มทยอยปล่อยข้อมูลและรายละเอียดของทีเด็ดที่เตรียมนำออกจัดแสดงในงานนี้กันมาบ้างแล้ว เรียกน้ำย่อยกันตั้งแต่หัววันกันเลยทีเดียว
แน่นอนว่าสถานที่จัดแสดงของงานคือ มาคูฮาริ แมสเซ่ จังหวัดชิบะเหมือนเดิม ซึ่งอยู่ห่างจากโตเกียวไปประมาณ 40 นาทีสำหรับการเดินทางด้วยรถไฟตามมาตรฐานของญี่ปุ่น ส่วนคิวในการจัดแสดงของงาน ก็ไล่เรียงตามนี้ คือ วันที่ 21-22 ตุลาคมเป็นรอบสำหรับสื่อมวลชน วันที่ 23 ตุลาคมสำหรับแขกพิเศษ และ 24 ตุลาคม ถึง 4 พฤศจิกายนสำหรับคนทั่วไป
บอกเอาไว้ก่อนว่า จริงอยู่ที่เมื่อก่อนโตเกียว มอเตอร์โชว์จัดงานเป็นประจำทุกปี จนกระทั่งเริ่มมีการเปลี่ยนไปเป็นทุกๆ 2 ปีในปีค.ศ. ที่ลงท้ายด้วยเลขคี่เหมือนกับแฟรงค์เฟิร์ต โดยเริ่มตั้งแต่ปี 1973 เป็นต้นมา แต่ในปี 2000 มีการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย โดยเปลี่ยนมาจัดเป็นประจำทุกปี เพียงแต่ปีที่เป็นเลขคี่จะเป็นงานใหญ่ที่สุด จัดแสดงรถยนต์นั่งและมอเตอร์ไซค์ ส่วนเลขคู่เป็นงานสำหรับรถยนต์เพื่อกาพาณิชย์ และรถบรรทุก
สุดท้ายก็ดำเนินรูปแบบนี้ได้ไม่นาน จนเมื่อปี 2006 ก็ไม่มีการจัดงานในส่วนรถยนต์เพื่อการพาณิชย์อีกต่อไป และโตเกียว มอเตอร์โชว์ก็กลับมาเป็นงานที่จัดทุก 2 ปีเช่นเคย โดยรวมการจัดงานในทุกประเภทรถยนต์ทั้งรถยนต์นั่ง มอเตอร์ไซค์ รถยนต์เพื่อการพาณิชย์ และผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์
สำหรับปีนี้ ซึ่งเป็นครั้งที่ 41 แบรนด์ที่เผยข้อมูลออกมานี้ เป็นผู้ผลิตรถยนต์ญี่ปุ่นล้วนๆ แม้จะยังมีไม่มาก แต่ก็พอเรียกน้ำย่อยได้ดีในระดับหนึ่ง ส่วนแบรนด์ต่างชาติไม่ใช่ว่าจะไม่มีของใหม่มาเปิดตัวในงานเลยเสียทีเดียว เพียงแต่ว่าอย่าไปหวังพึ่งมาก เพราะบางทีก็มี บางทีก็นำของเก่าจากแฟรงค์เฟิร์ต มอเตอร์โชว์มาจัดแสดงให้ดูกันอีกรอบ...ส่วนจะมีอะไรบ้างลองมาดูกัน
ฮอนด้า : อุ่นเครื่องด้วย 3 ต้นแบบ
ข่าวระลอกแรกของฮอนด้าสำหรับโตเกียว มอเตอร์โชว์ในปีนี้ คือ การเปิดตัวยานพาหนะส่วนบุคคลรุ่นใหม่ที่เรียกว่า U3-X ซึ่งช่วยให้ผู้ขับสามารถเคลื่อนที่ได้อย่างอิสระรอบทิศทางเช่นเดียวกับการก้าวเดินของมนุษย์ ทั้งเดินหน้า ถอยหลัง ด้านข้างรวมถึงทแยงมุม โดยมีรูปแบบคล้ายกับเก้าอี้นั่งติดล้อมีน้ำหนัก 10 กิโลกรัม และขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าที่อาศัยกระแสไฟฟ้าจากแบตเตอรี่แบบลิเธียม-ไอออน
ส่วนที่ถูกเปิดเผยต่อเนื่องออกมาคือ ต้นแบบรุ่นใหม่ที่เรียกว่า สกายเดก คอนเซ็ปต์ (Skydeck Concept) ซึ่งออกแนว MPV ที่เน้นความปลอดโปร่งของห้องโดยสาร ด้วยชุดหลังคาแบบมูนรูฟ แถมยังสุดสปอร์ตด้วยประตูหน้าเปิดขึ้นในลักษณะเหมือนกับกรรไกร หรือ Scissor Door เช่นเดียวกับรถสปอร์ตรุ่นเก่าๆ ของลัมบอร์กินี เช่น ดิอาโบล ส่วนประตูบานท้ายเปิดในลักษณะสไลด์ไปทางด้านหลัง
ตัวรถขับเคลื่อนด้วยระบบไฮบริดและเป็น MPV แบบ 6 ที่นั่ง ซึ่งรายละเอียดทางเทคนิคยังไม่เปิดเผย แต่ดูๆ แล้วจากรูปทรงโดยรวม ถ้าจะให้ฟันธงว่าโอกาสในการขึ้นไลน์ผลิตมีหรือไม่นั้น
คำตอบคือ น่าจะเป็นไปได้ และถ้านั่งนับช่วงเวลาของการใกล้เปลี่ยนโฉมรถยนต์ในกลุ่มนี้ของฮอนด้าแล้ว ต้นแบบรุ่นนี้น่าจะได้รับการพัฒนาให้เป็นรุ่นต่อไปของโอดิสซีส์ ที่ในปัจจุบันทำตลาดมาตั้งแต่ปี 2005 แล้ว และคิวในการทำตลาดของรุ่นต่อไปซึ่งเป็นเจนเนอเรชันที่ 4 อยู่ไม่เกินปี 2010
อีกรุ่นอาจจะไม่ฮือฮาเพราะเป็นของเก่าจากปี 2007 แต่ที่น่าสนใจก็เพราะ CR-Z ได้รับไฟเขียวในการผลิตขายจริงแล้ว และจะเป็นรถสปอร์ตแบบไฮบริดที่รุกตลาดปีหน้า โดยฮอนด้ามีคิววางขายที่ญี่ปุ่นเดือนกุมภาพันธ์ 2010 และแน่นอนว่าคันที่นำมาจัดแสดง แม้ปากจะบอกว่ามีคำว่า ‘ต้นแบบ’ หรือ Concept พ่วงท้าย แต่พอดูจากรายละเอียดโดยรวมทั้งภายนอกและภายในแล้ว น่าจะเป็นรุ่นที่เตรียมพร้อมขายจริงแล้ว...แฟนๆ ตัว H รอกันได้อีกไม่นาน
มาสด้า : 2 เครื่องยนต์ใหม่กับ 1 ต้นแบบ
มาสด้าจะนำเครื่องยนต์เบนซินไดเร็คอินเจ็คชั่น “สกาย-จี (SKY-G) ” และเครื่องยนต์ดีเซลพลังสะอาด “สกาย-ดี (SKY-D)” และระบบเกียร์อัตโนมัติประสิทธิภาพสูง “มาสด้า สกายไดรฟ์ (Mazda SKY Drive)” ออกจัดแสดง พร้อมเปิดตัวยานยนต์ต้นแบบ “กิโยระ (Kiyora)” อันสะท้อนให้เห็นถึงเทคโนโลยีเพื่อสิ่งแวดล้อมและความปลอดภัยอันล้ำสมัยของมาสด้า (Mazda's next-generation environmental and safety technologies)
สกาย-จีเป็นเครื่องยนต์เบนซินไดเร็คอินเจ็คชั่นซึ่งให้อัตราการประหยัดพลังงานที่ดีเยี่ยม เสื้อสูบได้รับการออกแบบใหม่เพื่อลดแรงเสียดทาน และให้อัตราการผสมผสานระหว่างอากาศและน้ำมันในระดับที่เหมาะสม มีการใช้ระบบไดเร็คอินเจ็คชั่นเพื่อรองรับการฉีดเชื้อเพลิงในระดับต่างๆ เพื่อให้เกิดอัตราการกระจายเชื้อเพลิงที่สูงสุด ให้อัตราประหยัดเชื้อเพลิงและแรงบิดที่ดีกว่าเครื่องยนต์มาสด้าขนาด 2.0 ลิตรรุ่นปัจจุบันประมาณ 15% ส่วนสกาย-ดีเป็นขุมพลังเทอร์โบดีเซลที่มีความประหยัดดีขึ้นจากบล็อก 2,200 ซีซีของมาสด้าที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน 20%
สำหรับกิโยระเป็นต้นแบบซึ่งให้ทั้งความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมติดตั้งเครื่องยนต์ สกาย-จี ขนาด 1.3 ลิตร และระบบเกียร์อัตโนมัติ 6-สปีด สกายไดรฟ์ ที่น้ำหนักเบา กิโยระ ยังให้อัตราการประหยัดเชื้อเพลิงที่ดีเยี่ยมได้ถึง 32 กิโลเมตรต่อลิตร (ภายใต้การทดสอบตามโหมด 10-15 ของญี่ปุ่น) พร้อมระบบ “ไอ-สต็อป” ที่ใช้อยู่ในมาสด้า 3 หรือแอกเซล่ารุ่นปัจจุบัน ซึ่งจะดับเครื่องยนต์อัตโนมัติเมื่อจอดติดอยู่กับที่
ซูบารุ : พลังไฮบริดแบบบ็อกเซอร์
การเข้ามาเป็นพันธมิตรกับโตโยต้าบวกกับกระแสความต้องการรถยนต์ทั่วโลกเบียงเบนมาที่เทคโนโลยีไฮบริด ถือว่าเป็นโอกาสอันนี้สำหรับฟูจิ เฮฟวี่ อินดัสตี้-FHI ผู้จำหน่ายรถยนต์ซูบารุ เพราะนั่นเท่ากับว่า ซูบารุแทบไม่ต้องเสียเวลาเริ่มต้นนับหนึ่งใหม่กับเทคโนโลยีไฮบริดเหมือนกับผู้ผลิตรถยนตค์ค่ายอื่นๆ
นี่ก็เลยเป็นที่มาของการแตกไลน์เพื่อปรับตัวให้สอดรับกับตลาดด้วยการนำเสนอระบบขับเคลื่อนไฮบริดผ่านทางต้นแบบที่เรียกว่า Hybrid Tourer Concept ซึ่งแม้จะสร้างความฮือฮาในด้านการออกแบบด้วยการสร้างสรรค์ตัวรถให้เป็นสปอร์ตที่มีประตูเปิดขึ้นแบบปีกนก
แต่สิ่งที่น่าสนใจกว่ากลับอยู่ที่รายละเอียดทางวิศวกรรมที่วางอยู่ภายใน ซึ่งจะเป็นการผสมผสานระหว่างเครื่องยนต์บ็อกเซอร์แบบสูบนอน และระบบขับเคลื่อน 4 ล้อเข้ากับมอเตอร์ไฟฟ้าสำหรับการใช้งานในรูปแบบไฮบริด ส่วนรายละเอียดยังไม่มีการเปิดเผยออกมาตอนนี้
ส่วนที่จะมีขายในญี่ปุ่น ก็เน้นไปที่ความแรงอย่างอิมเพรซา STI A-Line ซึ่งเป็นการนำคาร์บอนไฟเบอร์มาทำหลังคาเพื่อลดน้ำหนักโดยรวมให้กับตัวรถ ขณะที่ทางรถยนต์อเนกประสงค์รุ่นเอ็กซิก้าก็มีเวอร์ชัน STI แล้ว แต่ข่าวร้ายคือ เป็นแค่การแต่งเท่านั้นเพราะนำรุ่น 2.0GT มาเสริมหล่อ ยังไม่ได้ถึงขนาดรีดกำลังให้กับเครื่องยนต์เพื่อความร้อนแรงที่เพิ่มขึ้น
มิตซูบิชิ : จับ MiEV มาขยายความสามารถ
ที่เผยรายละเอียดออกมาล่วงหน้ามี 2 รุ่น คือ MiEV ที่ถูกขยายตัวถังให้กลายเป็นรถยนต์เพื่อการใช้งานในเชิงพาณิชย์ภายใต้ชื่อ MiEV Cargo มีขนาดตัวถัง 3,395 มิลลิเมตร แต่มีระยะฐานล้อในระดับ 2,550 มิลลิเมตร และยังขับเคลื่อนด้วยล้อหลังจากชุดมอเตอร์ไฟฟ้าขนาด 47 กิโลวัตต์ ซึ่งมีแรงบิด 18.3 กก.-ม. และแล่นทำระยะทางต่อการชาร์จ 1 ครั้งได้ 160 กิโลเมตร
เรียกว่าเป็นไอเดียที่แปลกในการนำซิตี้คาร์ไซส์เล็ก แถมระบบขับเคลื่อนยังวางอยู่ด้านหลังมาดัดแปลงให้กลายเป็นรถยนต์เพื่อใช้ในการบรรทุกสัมภาระ
แน่นอนว่าสถานที่จัดแสดงของงานคือ มาคูฮาริ แมสเซ่ จังหวัดชิบะเหมือนเดิม ซึ่งอยู่ห่างจากโตเกียวไปประมาณ 40 นาทีสำหรับการเดินทางด้วยรถไฟตามมาตรฐานของญี่ปุ่น ส่วนคิวในการจัดแสดงของงาน ก็ไล่เรียงตามนี้ คือ วันที่ 21-22 ตุลาคมเป็นรอบสำหรับสื่อมวลชน วันที่ 23 ตุลาคมสำหรับแขกพิเศษ และ 24 ตุลาคม ถึง 4 พฤศจิกายนสำหรับคนทั่วไป
บอกเอาไว้ก่อนว่า จริงอยู่ที่เมื่อก่อนโตเกียว มอเตอร์โชว์จัดงานเป็นประจำทุกปี จนกระทั่งเริ่มมีการเปลี่ยนไปเป็นทุกๆ 2 ปีในปีค.ศ. ที่ลงท้ายด้วยเลขคี่เหมือนกับแฟรงค์เฟิร์ต โดยเริ่มตั้งแต่ปี 1973 เป็นต้นมา แต่ในปี 2000 มีการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย โดยเปลี่ยนมาจัดเป็นประจำทุกปี เพียงแต่ปีที่เป็นเลขคี่จะเป็นงานใหญ่ที่สุด จัดแสดงรถยนต์นั่งและมอเตอร์ไซค์ ส่วนเลขคู่เป็นงานสำหรับรถยนต์เพื่อกาพาณิชย์ และรถบรรทุก
สุดท้ายก็ดำเนินรูปแบบนี้ได้ไม่นาน จนเมื่อปี 2006 ก็ไม่มีการจัดงานในส่วนรถยนต์เพื่อการพาณิชย์อีกต่อไป และโตเกียว มอเตอร์โชว์ก็กลับมาเป็นงานที่จัดทุก 2 ปีเช่นเคย โดยรวมการจัดงานในทุกประเภทรถยนต์ทั้งรถยนต์นั่ง มอเตอร์ไซค์ รถยนต์เพื่อการพาณิชย์ และผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์
สำหรับปีนี้ ซึ่งเป็นครั้งที่ 41 แบรนด์ที่เผยข้อมูลออกมานี้ เป็นผู้ผลิตรถยนต์ญี่ปุ่นล้วนๆ แม้จะยังมีไม่มาก แต่ก็พอเรียกน้ำย่อยได้ดีในระดับหนึ่ง ส่วนแบรนด์ต่างชาติไม่ใช่ว่าจะไม่มีของใหม่มาเปิดตัวในงานเลยเสียทีเดียว เพียงแต่ว่าอย่าไปหวังพึ่งมาก เพราะบางทีก็มี บางทีก็นำของเก่าจากแฟรงค์เฟิร์ต มอเตอร์โชว์มาจัดแสดงให้ดูกันอีกรอบ...ส่วนจะมีอะไรบ้างลองมาดูกัน
ฮอนด้า : อุ่นเครื่องด้วย 3 ต้นแบบ
ข่าวระลอกแรกของฮอนด้าสำหรับโตเกียว มอเตอร์โชว์ในปีนี้ คือ การเปิดตัวยานพาหนะส่วนบุคคลรุ่นใหม่ที่เรียกว่า U3-X ซึ่งช่วยให้ผู้ขับสามารถเคลื่อนที่ได้อย่างอิสระรอบทิศทางเช่นเดียวกับการก้าวเดินของมนุษย์ ทั้งเดินหน้า ถอยหลัง ด้านข้างรวมถึงทแยงมุม โดยมีรูปแบบคล้ายกับเก้าอี้นั่งติดล้อมีน้ำหนัก 10 กิโลกรัม และขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าที่อาศัยกระแสไฟฟ้าจากแบตเตอรี่แบบลิเธียม-ไอออน
ส่วนที่ถูกเปิดเผยต่อเนื่องออกมาคือ ต้นแบบรุ่นใหม่ที่เรียกว่า สกายเดก คอนเซ็ปต์ (Skydeck Concept) ซึ่งออกแนว MPV ที่เน้นความปลอดโปร่งของห้องโดยสาร ด้วยชุดหลังคาแบบมูนรูฟ แถมยังสุดสปอร์ตด้วยประตูหน้าเปิดขึ้นในลักษณะเหมือนกับกรรไกร หรือ Scissor Door เช่นเดียวกับรถสปอร์ตรุ่นเก่าๆ ของลัมบอร์กินี เช่น ดิอาโบล ส่วนประตูบานท้ายเปิดในลักษณะสไลด์ไปทางด้านหลัง
ตัวรถขับเคลื่อนด้วยระบบไฮบริดและเป็น MPV แบบ 6 ที่นั่ง ซึ่งรายละเอียดทางเทคนิคยังไม่เปิดเผย แต่ดูๆ แล้วจากรูปทรงโดยรวม ถ้าจะให้ฟันธงว่าโอกาสในการขึ้นไลน์ผลิตมีหรือไม่นั้น
คำตอบคือ น่าจะเป็นไปได้ และถ้านั่งนับช่วงเวลาของการใกล้เปลี่ยนโฉมรถยนต์ในกลุ่มนี้ของฮอนด้าแล้ว ต้นแบบรุ่นนี้น่าจะได้รับการพัฒนาให้เป็นรุ่นต่อไปของโอดิสซีส์ ที่ในปัจจุบันทำตลาดมาตั้งแต่ปี 2005 แล้ว และคิวในการทำตลาดของรุ่นต่อไปซึ่งเป็นเจนเนอเรชันที่ 4 อยู่ไม่เกินปี 2010
อีกรุ่นอาจจะไม่ฮือฮาเพราะเป็นของเก่าจากปี 2007 แต่ที่น่าสนใจก็เพราะ CR-Z ได้รับไฟเขียวในการผลิตขายจริงแล้ว และจะเป็นรถสปอร์ตแบบไฮบริดที่รุกตลาดปีหน้า โดยฮอนด้ามีคิววางขายที่ญี่ปุ่นเดือนกุมภาพันธ์ 2010 และแน่นอนว่าคันที่นำมาจัดแสดง แม้ปากจะบอกว่ามีคำว่า ‘ต้นแบบ’ หรือ Concept พ่วงท้าย แต่พอดูจากรายละเอียดโดยรวมทั้งภายนอกและภายในแล้ว น่าจะเป็นรุ่นที่เตรียมพร้อมขายจริงแล้ว...แฟนๆ ตัว H รอกันได้อีกไม่นาน
มาสด้า : 2 เครื่องยนต์ใหม่กับ 1 ต้นแบบ
มาสด้าจะนำเครื่องยนต์เบนซินไดเร็คอินเจ็คชั่น “สกาย-จี (SKY-G) ” และเครื่องยนต์ดีเซลพลังสะอาด “สกาย-ดี (SKY-D)” และระบบเกียร์อัตโนมัติประสิทธิภาพสูง “มาสด้า สกายไดรฟ์ (Mazda SKY Drive)” ออกจัดแสดง พร้อมเปิดตัวยานยนต์ต้นแบบ “กิโยระ (Kiyora)” อันสะท้อนให้เห็นถึงเทคโนโลยีเพื่อสิ่งแวดล้อมและความปลอดภัยอันล้ำสมัยของมาสด้า (Mazda's next-generation environmental and safety technologies)
สกาย-จีเป็นเครื่องยนต์เบนซินไดเร็คอินเจ็คชั่นซึ่งให้อัตราการประหยัดพลังงานที่ดีเยี่ยม เสื้อสูบได้รับการออกแบบใหม่เพื่อลดแรงเสียดทาน และให้อัตราการผสมผสานระหว่างอากาศและน้ำมันในระดับที่เหมาะสม มีการใช้ระบบไดเร็คอินเจ็คชั่นเพื่อรองรับการฉีดเชื้อเพลิงในระดับต่างๆ เพื่อให้เกิดอัตราการกระจายเชื้อเพลิงที่สูงสุด ให้อัตราประหยัดเชื้อเพลิงและแรงบิดที่ดีกว่าเครื่องยนต์มาสด้าขนาด 2.0 ลิตรรุ่นปัจจุบันประมาณ 15% ส่วนสกาย-ดีเป็นขุมพลังเทอร์โบดีเซลที่มีความประหยัดดีขึ้นจากบล็อก 2,200 ซีซีของมาสด้าที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน 20%
สำหรับกิโยระเป็นต้นแบบซึ่งให้ทั้งความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมติดตั้งเครื่องยนต์ สกาย-จี ขนาด 1.3 ลิตร และระบบเกียร์อัตโนมัติ 6-สปีด สกายไดรฟ์ ที่น้ำหนักเบา กิโยระ ยังให้อัตราการประหยัดเชื้อเพลิงที่ดีเยี่ยมได้ถึง 32 กิโลเมตรต่อลิตร (ภายใต้การทดสอบตามโหมด 10-15 ของญี่ปุ่น) พร้อมระบบ “ไอ-สต็อป” ที่ใช้อยู่ในมาสด้า 3 หรือแอกเซล่ารุ่นปัจจุบัน ซึ่งจะดับเครื่องยนต์อัตโนมัติเมื่อจอดติดอยู่กับที่
ซูบารุ : พลังไฮบริดแบบบ็อกเซอร์
การเข้ามาเป็นพันธมิตรกับโตโยต้าบวกกับกระแสความต้องการรถยนต์ทั่วโลกเบียงเบนมาที่เทคโนโลยีไฮบริด ถือว่าเป็นโอกาสอันนี้สำหรับฟูจิ เฮฟวี่ อินดัสตี้-FHI ผู้จำหน่ายรถยนต์ซูบารุ เพราะนั่นเท่ากับว่า ซูบารุแทบไม่ต้องเสียเวลาเริ่มต้นนับหนึ่งใหม่กับเทคโนโลยีไฮบริดเหมือนกับผู้ผลิตรถยนตค์ค่ายอื่นๆ
นี่ก็เลยเป็นที่มาของการแตกไลน์เพื่อปรับตัวให้สอดรับกับตลาดด้วยการนำเสนอระบบขับเคลื่อนไฮบริดผ่านทางต้นแบบที่เรียกว่า Hybrid Tourer Concept ซึ่งแม้จะสร้างความฮือฮาในด้านการออกแบบด้วยการสร้างสรรค์ตัวรถให้เป็นสปอร์ตที่มีประตูเปิดขึ้นแบบปีกนก
แต่สิ่งที่น่าสนใจกว่ากลับอยู่ที่รายละเอียดทางวิศวกรรมที่วางอยู่ภายใน ซึ่งจะเป็นการผสมผสานระหว่างเครื่องยนต์บ็อกเซอร์แบบสูบนอน และระบบขับเคลื่อน 4 ล้อเข้ากับมอเตอร์ไฟฟ้าสำหรับการใช้งานในรูปแบบไฮบริด ส่วนรายละเอียดยังไม่มีการเปิดเผยออกมาตอนนี้
ส่วนที่จะมีขายในญี่ปุ่น ก็เน้นไปที่ความแรงอย่างอิมเพรซา STI A-Line ซึ่งเป็นการนำคาร์บอนไฟเบอร์มาทำหลังคาเพื่อลดน้ำหนักโดยรวมให้กับตัวรถ ขณะที่ทางรถยนต์อเนกประสงค์รุ่นเอ็กซิก้าก็มีเวอร์ชัน STI แล้ว แต่ข่าวร้ายคือ เป็นแค่การแต่งเท่านั้นเพราะนำรุ่น 2.0GT มาเสริมหล่อ ยังไม่ได้ถึงขนาดรีดกำลังให้กับเครื่องยนต์เพื่อความร้อนแรงที่เพิ่มขึ้น
มิตซูบิชิ : จับ MiEV มาขยายความสามารถ
ที่เผยรายละเอียดออกมาล่วงหน้ามี 2 รุ่น คือ MiEV ที่ถูกขยายตัวถังให้กลายเป็นรถยนต์เพื่อการใช้งานในเชิงพาณิชย์ภายใต้ชื่อ MiEV Cargo มีขนาดตัวถัง 3,395 มิลลิเมตร แต่มีระยะฐานล้อในระดับ 2,550 มิลลิเมตร และยังขับเคลื่อนด้วยล้อหลังจากชุดมอเตอร์ไฟฟ้าขนาด 47 กิโลวัตต์ ซึ่งมีแรงบิด 18.3 กก.-ม. และแล่นทำระยะทางต่อการชาร์จ 1 ครั้งได้ 160 กิโลเมตร
เรียกว่าเป็นไอเดียที่แปลกในการนำซิตี้คาร์ไซส์เล็ก แถมระบบขับเคลื่อนยังวางอยู่ด้านหลังมาดัดแปลงให้กลายเป็นรถยนต์เพื่อใช้ในการบรรทุกสัมภาระ