เมอร์เซเดส-เบนซ์ขับเคลื่อนนวัตกรรมใหม่เพื่อสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน ภายใต้แนวคิด “BlueEFFICIENCY” เป้าหมายลดการใช้ปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิงและปริมาณคาร์บอนไดอ๊อกไซค์ในรถยนต์นั่งส่วนบุคคลและรถเพื่อการพาณิชย์ โดยยังคงสมรรถนะเต็มประสิทธิภาพในด้านสุนทรียภาพในการขับขี่ ความสะดวกสบายหรูหราและความปลอดภัย
ศ. ดร. อเล็กซานเดอร์ เพาฟเลอร์ ประธานบริหารบริษัท เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า ปัจจุบันเมอร์เซเดส-เบนซ์ไม่เพียงเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมยานยนต์โลกเท่านั้น หากแต่ยังเป็นผู้นำในยนตรกรรมเพื่อสิ่งแวดล้อมโลกอีกด้วย โดยรถเมอร์เซเดส-เบนซ์ในทุกรุ่นทั่วโลกตั้งแต่ A-Class ไปจนถึง S-Class จะผลิตโดยใช้เทคโนโลยีใหม่ล่าสุดนี้ที่เรียกว่า “BlueEFFICIENCY” ซึ่งเป็นกลยุทธที่เมอร์เซเดส-เบนซ์คิดค้นขึ้น เพื่อลดมลพิษและรักษาสิ่งแวดล้อม โดยกลยุทธ์นี้จะถูกนำมาใช้ในรถยนต์แต่ละรุ่น ด้วยวิธีการที่แตกต่างกันออกไปแต่ยังสามารถเพิ่มสมรรถนะให้กับรถยนต์เมอร์เซเดส-เบนซ์ในแต่ละรุ่นได้อีกด้วย
ในการที่จะไปถึงเป้าหมายแบบไร้มลพิษนั้น เมอร์เซเดส-เบนซ์ได้พัฒนาเทคโนโลยีในเครื่องยนต์หลากหลายแบบอย่างชาญฉลาด อาทิ การทำให้เครื่องยนต์มีการสันดาปภายในแบบสะอาดหมดจดเต็มประสิทธิภาพสูงสุด การนำระบบไฮบริดมาใช้ในรถยนต์ การออกแบบรถพลังงานไฮโดรเจนทำงานร่วมกับระบบไฟฟ้า หรือการพัฒนารถให้ขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้าอย่างเดียว เป็นต้น เราเรียกทั้งหมดนี้ว่านวัตกรรมเพื่อสิ่งแวดล้อม “BlueEFFICIENCY”
แนวทางรถยนต์ในอนาคตของเมอร์เซเดส-เบนซ์ภายใต้นวัตกรรมเพื่อสิ่งแวดล้อม “BlueEFFICIENCY” สามารถแยกได้เป็น 3 แนวทางดังต่อไปนี้
1. ระบบขับเคลื่อนใช้น้ำมันแบบสันดาปภายใน (optimized internal combustion engines) การพัฒนาให้เครื่องยนต์ที่ใช้น้ำมันเบนซินและดีเซลมีการสันดาปภายในแบบเต็มประสิทธิภาพสูงสุด: ในกลุ่มนี้จะประกอบไปด้วยรถเมอร์เซเดส-เบนซ์ที่ใช้เทคโนโลยีดังนี้
1.1 เครื่องยนต์ CDI แบบ BlueTEC : เทคโนโลยีดีเซลที่ได้ชื่อว่าสะอาดที่สุดในโลก ซึ่งมีระบบการกรองเขม่าและไอเสียหลายขั้นตอนรวมถึงผ่านการกรองแบบละเอียดด้วยแผ่น particulate filter และด้วยจุดมุ่งหมายที่จะลดปริมาณไนโตรเจนอ๊อกไซด์ที่เป็นมลพิษ จึงมีการฉีดสาร AdBlue ในขั้นสุดท้ายอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งขบวนการนี้สามารถลดเขม่าและไอเสียได้กว่า 80 เปอร์เซ็นต์ จึงได้ชื่อว่าเป็นเทคโนโลยีดีเซลสะอาดที่สุดในโลกโดยตลาดส่วนใหญ่ของรถรุ่น BlueTEC เป็นรถระดับ SUV อยู่ในตลาดสหรัฐอเมริกา รถรุ่นแรกได้ถูกผลิตในปี 2006 คือ E 320 BlueTEC ตามด้วยรุ่น R-, ML- และ GL 320 BlueTEC รถยนต์รุ่น BlueTEC ทั้งหมดจะสามารถใช้ได้กับน้ำมันมาตรฐานไอเสียของยุโรป EU6 ซึ่งจะบังคับใช้ในปี 2014 อย่างไรก็ดี เมื่อเปรียบเทียบกับรุ่นเดิมก่อนหน้านี้ รถรุ่นนี้จะมีอัตราบริโภคลดลงโดยประมาณที่ 0.5 ลิตรต่อ 100 กิโลเมตรคือที่อัตราเฉลี่ย 6.8 ลิตรต่อ 100 กิโลเมตร และยังลดปริมาณไอเสียลง 7.7 เปอร์เซ็นต์ กล่าวคือ 180 กรัมต่อกิโลเมตร
1.2 Charged Gasoline Injection (CGI): เทคโนโลยีแบบ CGI มีความโดดเด่นเรื่องพละกำลังรถยนต์แรงแบบต่อเนื่องแต่มีอัตราสิ้นเปลืองน้ำมันลดลง 10 เปอร์เซ็นโดยประมาณ เมอร์เซเดส-เบนซ์เป็นค่ายแรกที่คิดค้นเทคโนลียี CGI และได้นำไปใช้ครั้งแรกในรถรุ่น CLS 350 CGI ในปี 2006 ต่อมาได้ขยายไปรุ่น E 200 CGI BlueEFFICIENCY และ E 250 CGI BlueEFFICIENCY เป็นต้น ซึ่งสองรุ่นนี้สามารถประหยัดน้ำมันขึ้น 20 เปอร์เซ็นต์และปล่อยไอเสียน้อยมาก โดยรวมแล้วเมอร์เซเดส-เบนซ์จะใช้เทคโนโลยี CGI ในรถยนต์แบบ 4 และ 6 สูบ
1.3 BlueEFFICIENCY: เป็นเทคโนโลยีทรงประสิทธิภาพที่สุดในด้านการประหยัดน้ำมันเชื้อเพลง ด้วยหลักการทำให้รถยนต์มีน้ำหนักเบาขึ้นอย่างชาญฉลาดไม่ว่าจะเป็นที่โครงสร้างรถ การลดน้ำหนักกระจกหน้ารถ ในพวงมาลัย การเลือกใช้ยางที่มีแรงเสียดทานต่ำและการทำให้รถลู่ลมมากที่สุด รวมถึงการสตาท์เครื่องด้วยปุ่ม start/stop ด้วย โดยรถที่เป็น BlueEFFICIENCY จะประหยัดน้ำมันขึ้น 12 เปอร์เซ็นต์โดยประมาณ รถรุ่นที่ใช้เทคโนโลยี BlueEFFICIENCY ผลิตแล้วในทุกเซ็กเมนต์ อาทิ A-, B-, C-, E- และ S-Class โดยรุ่นที่จะนำมาเปิดในไทยจะเป็นระดับ E-Class คือ E 250 CGI BlueEFFICIENCY
1.4 Natural Gas (NGT): พลังงานทางเลือกที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมโดยใช้แก๊ส ธรรมชาติหรือ NGV ซึ่งถือเป็นเชื้อเพลิงสะอาด รุ่นที่ทำตลาดในไทยคือ E 200 NGT โดยการเติมแก๊สเต็มที่ 18 กิโลกรัมสามารถวิ่งได้ระยะทาง 300 กิโลเมตรโดยประมาณ ด้วยแก๊ส NGV มีราคาถูกกว่าน้ำมันเบนซินและดีเซล จึงให้ความประหยัดกว่าครึ่ง E 200 NGT สามารถลด CO2 ได้ถึง 20 % หรือเพียงแค่ 168 กรัมต่อกิโลเมตรเท่านั้น
2. ระบบขับเคลื่อนแบบไฮบริด (hybridization) เป็นเทคโนโลยีที่เมอร์เซเดส-เบนซ์ให้ความสำคัญมากและถือเป็นหนึ่งในกลยุทธ์รถยนต์สิ่งแวดล้อมในอนาคตอย่างยั่งยืนอีกทั้งเมอร์เซเดส-เบนซ์ยังเป็นรถยุโรปรายแรกที่นำเทคโนโลยีไฮบริดมาใช้และเปิดตัวแล้วถึง 2 รุ่นด้วยกันคือ S 400 HYBRID และ ML 450 HYBRID โดยรถไฮบริดจะสามารถทำงานโดยใช้เครื่องยนต์ที่มีการสันดาปภายในร่วมกันกับมอเตอร์ไฟฟ้า หรือสามารถทำงานแยกอิสระจากกันก็ได้ขึ้นอยู่กับชนิดของรถยนต์และสภาพการขับขี่
รถยนต์ไฮบริดจึงให้ความประหยัดซึ่งสามารถลดอัตราการสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงได้มากถึง 20 % พลังงานสำรองจะเก็บสะสมในแบตเตอรี่ชนิดลิเธียมไอออน (lithium-ion) รถรุ่นที่ใช้เทคโนโลยี HYBRID และเพิ่งเปิดตัวไปทั่วโลกแล้วเมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมาคือรถหรูพรีเมี่ยมระดับ S 400 HYBRID จึงนับเป็นรถไฮบริดรุ่นแรกที่ทำงานโดยใช้ แบตเตอรี่ชนิดลิเธียมไอออน
S 400 HYBRID มีอัตราสิ้นเปลืองน้ำมันแค่ 7.9 ลิตรต่อ 100 กิโลเมตร และยังได้ชื่อว่าเป็นรถหรูที่ลดปริมาณ CO2ได้ยอดเยี่ยมที่สุดของโลกอีกด้วย คือแค่ 186 กรัมต่อกิโลเมตร นอกจากนี้เมอร์เซเดส-เบนซ์ยังได้ผลิตในรถขนาดใหญ่แบบ ML 450 HYBRID ในเครื่องยนต์ V6 และ V8 มีกำลังขับเคลื่อนที่ 279 และ 340 แรงม้า แรงบิดสูงสุดที่ 350 และ 517 นิวตันเมตรตามลำดับ ทั้งสองรุ่นสามารถประหยัดน้ำมันได้ถึง 60 %
3. ระบบขับเคลื่อนแบบไร้มลพิษ (zero-emission driving) เป็นรถที่ขับเคลื่อนโดยพลังงานไฟฟ้าซึ่งได้มาจากการทำปฏิกิริยาทางเคมี โดยไม่ผ่านการเผาไหม้ ทำให้เกิดพลังงานสะอาดและปล่อยเป็น “น้ำ” จากท่อไอเสียซึ่งไม่เป็นพิษกับสิ่งแวดล้อม ด้วยประสิทธิภาพของรถระบบนี้จึงเหมาะที่จะเป็นรถยนต์ในอนาคตมากที่สุด รถยนต์ในระบบนี้จะสามารถแบ่งออกเป็น 2 แนวทางดังนี้
3.1 รถ E-Cell : ขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้า เป็นรถคอนเซ๊ปต์แนวรักษ์สิ่งแวดล้อมภายใต้ชื่อว่า BlueZERO ซึ่งจะเป็นเจเนเรชั่นใหม่ในอนาคตและเหมาะสมสำหรับการใช้งานในชีวิตประจำวันโดยแบ่งเป็น 3 แนวทางย่อยดังนี้ 1) the BlueZERO E-CELL, 2) the BlueZERO F-CELL และ 3) the BlueZERO E-CELL PLUS ปัจจุบันเมอร์เซเดส-เบนซ์กำลังอยู่ในขั้นพัฒนาระยะสุดท้ายและจะนำขึ้นสายการผลิตในเร็ว ๆ นี้ในรถ A- และ B-Class โดยสามารถวิ่งทางไกลได้ในระยะทางไกลตั้งแต่ 200 , 400 และ 600 กิโลเมตร ตามลำดับ
3.2 รถเซลล์เชื้อเพลิง (Fuel Cell หรือ F-Cell) : ใช้พลังงานไฟฟ้าจากการทำปฏิกิริยาทางเคมีของไฮโดรเจนและออกซิเจน และปล่อยไอน้ำจากท่อไอเสียไม่เป็นพิษกับสิ่งแวดล้อม เมอร์เซเดส-เบนซ์ได้ผลิตและพัฒนารถเซลล์เชื้อเพลิงอย่างต่อเนื่องและใช้ในเชิงพาณิชย์แล้วในรุ่น A-Class , B-Class และรถบัสโดยสารรุ่น Citaro ได้เริ่มใช้งานแล้วในหลายประเทศทั่วโลก อาทิ แคลิฟอร์เนีย เบอร์ลิน สิงคโปร์ ออสเตรียเลีย และจีน เป็นต้น
ศ. ดร. อเล็กซานเดอร์ เพาฟเลอร์ ประธานบริหารบริษัท เมอร์เซเดส-เบนซ์ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า ปัจจุบันเมอร์เซเดส-เบนซ์ไม่เพียงเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมยานยนต์โลกเท่านั้น หากแต่ยังเป็นผู้นำในยนตรกรรมเพื่อสิ่งแวดล้อมโลกอีกด้วย โดยรถเมอร์เซเดส-เบนซ์ในทุกรุ่นทั่วโลกตั้งแต่ A-Class ไปจนถึง S-Class จะผลิตโดยใช้เทคโนโลยีใหม่ล่าสุดนี้ที่เรียกว่า “BlueEFFICIENCY” ซึ่งเป็นกลยุทธที่เมอร์เซเดส-เบนซ์คิดค้นขึ้น เพื่อลดมลพิษและรักษาสิ่งแวดล้อม โดยกลยุทธ์นี้จะถูกนำมาใช้ในรถยนต์แต่ละรุ่น ด้วยวิธีการที่แตกต่างกันออกไปแต่ยังสามารถเพิ่มสมรรถนะให้กับรถยนต์เมอร์เซเดส-เบนซ์ในแต่ละรุ่นได้อีกด้วย
ในการที่จะไปถึงเป้าหมายแบบไร้มลพิษนั้น เมอร์เซเดส-เบนซ์ได้พัฒนาเทคโนโลยีในเครื่องยนต์หลากหลายแบบอย่างชาญฉลาด อาทิ การทำให้เครื่องยนต์มีการสันดาปภายในแบบสะอาดหมดจดเต็มประสิทธิภาพสูงสุด การนำระบบไฮบริดมาใช้ในรถยนต์ การออกแบบรถพลังงานไฮโดรเจนทำงานร่วมกับระบบไฟฟ้า หรือการพัฒนารถให้ขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้าอย่างเดียว เป็นต้น เราเรียกทั้งหมดนี้ว่านวัตกรรมเพื่อสิ่งแวดล้อม “BlueEFFICIENCY”
แนวทางรถยนต์ในอนาคตของเมอร์เซเดส-เบนซ์ภายใต้นวัตกรรมเพื่อสิ่งแวดล้อม “BlueEFFICIENCY” สามารถแยกได้เป็น 3 แนวทางดังต่อไปนี้
1. ระบบขับเคลื่อนใช้น้ำมันแบบสันดาปภายใน (optimized internal combustion engines) การพัฒนาให้เครื่องยนต์ที่ใช้น้ำมันเบนซินและดีเซลมีการสันดาปภายในแบบเต็มประสิทธิภาพสูงสุด: ในกลุ่มนี้จะประกอบไปด้วยรถเมอร์เซเดส-เบนซ์ที่ใช้เทคโนโลยีดังนี้
1.1 เครื่องยนต์ CDI แบบ BlueTEC : เทคโนโลยีดีเซลที่ได้ชื่อว่าสะอาดที่สุดในโลก ซึ่งมีระบบการกรองเขม่าและไอเสียหลายขั้นตอนรวมถึงผ่านการกรองแบบละเอียดด้วยแผ่น particulate filter และด้วยจุดมุ่งหมายที่จะลดปริมาณไนโตรเจนอ๊อกไซด์ที่เป็นมลพิษ จึงมีการฉีดสาร AdBlue ในขั้นสุดท้ายอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งขบวนการนี้สามารถลดเขม่าและไอเสียได้กว่า 80 เปอร์เซ็นต์ จึงได้ชื่อว่าเป็นเทคโนโลยีดีเซลสะอาดที่สุดในโลกโดยตลาดส่วนใหญ่ของรถรุ่น BlueTEC เป็นรถระดับ SUV อยู่ในตลาดสหรัฐอเมริกา รถรุ่นแรกได้ถูกผลิตในปี 2006 คือ E 320 BlueTEC ตามด้วยรุ่น R-, ML- และ GL 320 BlueTEC รถยนต์รุ่น BlueTEC ทั้งหมดจะสามารถใช้ได้กับน้ำมันมาตรฐานไอเสียของยุโรป EU6 ซึ่งจะบังคับใช้ในปี 2014 อย่างไรก็ดี เมื่อเปรียบเทียบกับรุ่นเดิมก่อนหน้านี้ รถรุ่นนี้จะมีอัตราบริโภคลดลงโดยประมาณที่ 0.5 ลิตรต่อ 100 กิโลเมตรคือที่อัตราเฉลี่ย 6.8 ลิตรต่อ 100 กิโลเมตร และยังลดปริมาณไอเสียลง 7.7 เปอร์เซ็นต์ กล่าวคือ 180 กรัมต่อกิโลเมตร
1.2 Charged Gasoline Injection (CGI): เทคโนโลยีแบบ CGI มีความโดดเด่นเรื่องพละกำลังรถยนต์แรงแบบต่อเนื่องแต่มีอัตราสิ้นเปลืองน้ำมันลดลง 10 เปอร์เซ็นโดยประมาณ เมอร์เซเดส-เบนซ์เป็นค่ายแรกที่คิดค้นเทคโนลียี CGI และได้นำไปใช้ครั้งแรกในรถรุ่น CLS 350 CGI ในปี 2006 ต่อมาได้ขยายไปรุ่น E 200 CGI BlueEFFICIENCY และ E 250 CGI BlueEFFICIENCY เป็นต้น ซึ่งสองรุ่นนี้สามารถประหยัดน้ำมันขึ้น 20 เปอร์เซ็นต์และปล่อยไอเสียน้อยมาก โดยรวมแล้วเมอร์เซเดส-เบนซ์จะใช้เทคโนโลยี CGI ในรถยนต์แบบ 4 และ 6 สูบ
1.3 BlueEFFICIENCY: เป็นเทคโนโลยีทรงประสิทธิภาพที่สุดในด้านการประหยัดน้ำมันเชื้อเพลง ด้วยหลักการทำให้รถยนต์มีน้ำหนักเบาขึ้นอย่างชาญฉลาดไม่ว่าจะเป็นที่โครงสร้างรถ การลดน้ำหนักกระจกหน้ารถ ในพวงมาลัย การเลือกใช้ยางที่มีแรงเสียดทานต่ำและการทำให้รถลู่ลมมากที่สุด รวมถึงการสตาท์เครื่องด้วยปุ่ม start/stop ด้วย โดยรถที่เป็น BlueEFFICIENCY จะประหยัดน้ำมันขึ้น 12 เปอร์เซ็นต์โดยประมาณ รถรุ่นที่ใช้เทคโนโลยี BlueEFFICIENCY ผลิตแล้วในทุกเซ็กเมนต์ อาทิ A-, B-, C-, E- และ S-Class โดยรุ่นที่จะนำมาเปิดในไทยจะเป็นระดับ E-Class คือ E 250 CGI BlueEFFICIENCY
1.4 Natural Gas (NGT): พลังงานทางเลือกที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมโดยใช้แก๊ส ธรรมชาติหรือ NGV ซึ่งถือเป็นเชื้อเพลิงสะอาด รุ่นที่ทำตลาดในไทยคือ E 200 NGT โดยการเติมแก๊สเต็มที่ 18 กิโลกรัมสามารถวิ่งได้ระยะทาง 300 กิโลเมตรโดยประมาณ ด้วยแก๊ส NGV มีราคาถูกกว่าน้ำมันเบนซินและดีเซล จึงให้ความประหยัดกว่าครึ่ง E 200 NGT สามารถลด CO2 ได้ถึง 20 % หรือเพียงแค่ 168 กรัมต่อกิโลเมตรเท่านั้น
2. ระบบขับเคลื่อนแบบไฮบริด (hybridization) เป็นเทคโนโลยีที่เมอร์เซเดส-เบนซ์ให้ความสำคัญมากและถือเป็นหนึ่งในกลยุทธ์รถยนต์สิ่งแวดล้อมในอนาคตอย่างยั่งยืนอีกทั้งเมอร์เซเดส-เบนซ์ยังเป็นรถยุโรปรายแรกที่นำเทคโนโลยีไฮบริดมาใช้และเปิดตัวแล้วถึง 2 รุ่นด้วยกันคือ S 400 HYBRID และ ML 450 HYBRID โดยรถไฮบริดจะสามารถทำงานโดยใช้เครื่องยนต์ที่มีการสันดาปภายในร่วมกันกับมอเตอร์ไฟฟ้า หรือสามารถทำงานแยกอิสระจากกันก็ได้ขึ้นอยู่กับชนิดของรถยนต์และสภาพการขับขี่
รถยนต์ไฮบริดจึงให้ความประหยัดซึ่งสามารถลดอัตราการสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงได้มากถึง 20 % พลังงานสำรองจะเก็บสะสมในแบตเตอรี่ชนิดลิเธียมไอออน (lithium-ion) รถรุ่นที่ใช้เทคโนโลยี HYBRID และเพิ่งเปิดตัวไปทั่วโลกแล้วเมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมาคือรถหรูพรีเมี่ยมระดับ S 400 HYBRID จึงนับเป็นรถไฮบริดรุ่นแรกที่ทำงานโดยใช้ แบตเตอรี่ชนิดลิเธียมไอออน
S 400 HYBRID มีอัตราสิ้นเปลืองน้ำมันแค่ 7.9 ลิตรต่อ 100 กิโลเมตร และยังได้ชื่อว่าเป็นรถหรูที่ลดปริมาณ CO2ได้ยอดเยี่ยมที่สุดของโลกอีกด้วย คือแค่ 186 กรัมต่อกิโลเมตร นอกจากนี้เมอร์เซเดส-เบนซ์ยังได้ผลิตในรถขนาดใหญ่แบบ ML 450 HYBRID ในเครื่องยนต์ V6 และ V8 มีกำลังขับเคลื่อนที่ 279 และ 340 แรงม้า แรงบิดสูงสุดที่ 350 และ 517 นิวตันเมตรตามลำดับ ทั้งสองรุ่นสามารถประหยัดน้ำมันได้ถึง 60 %
3. ระบบขับเคลื่อนแบบไร้มลพิษ (zero-emission driving) เป็นรถที่ขับเคลื่อนโดยพลังงานไฟฟ้าซึ่งได้มาจากการทำปฏิกิริยาทางเคมี โดยไม่ผ่านการเผาไหม้ ทำให้เกิดพลังงานสะอาดและปล่อยเป็น “น้ำ” จากท่อไอเสียซึ่งไม่เป็นพิษกับสิ่งแวดล้อม ด้วยประสิทธิภาพของรถระบบนี้จึงเหมาะที่จะเป็นรถยนต์ในอนาคตมากที่สุด รถยนต์ในระบบนี้จะสามารถแบ่งออกเป็น 2 แนวทางดังนี้
3.1 รถ E-Cell : ขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้า เป็นรถคอนเซ๊ปต์แนวรักษ์สิ่งแวดล้อมภายใต้ชื่อว่า BlueZERO ซึ่งจะเป็นเจเนเรชั่นใหม่ในอนาคตและเหมาะสมสำหรับการใช้งานในชีวิตประจำวันโดยแบ่งเป็น 3 แนวทางย่อยดังนี้ 1) the BlueZERO E-CELL, 2) the BlueZERO F-CELL และ 3) the BlueZERO E-CELL PLUS ปัจจุบันเมอร์เซเดส-เบนซ์กำลังอยู่ในขั้นพัฒนาระยะสุดท้ายและจะนำขึ้นสายการผลิตในเร็ว ๆ นี้ในรถ A- และ B-Class โดยสามารถวิ่งทางไกลได้ในระยะทางไกลตั้งแต่ 200 , 400 และ 600 กิโลเมตร ตามลำดับ
3.2 รถเซลล์เชื้อเพลิง (Fuel Cell หรือ F-Cell) : ใช้พลังงานไฟฟ้าจากการทำปฏิกิริยาทางเคมีของไฮโดรเจนและออกซิเจน และปล่อยไอน้ำจากท่อไอเสียไม่เป็นพิษกับสิ่งแวดล้อม เมอร์เซเดส-เบนซ์ได้ผลิตและพัฒนารถเซลล์เชื้อเพลิงอย่างต่อเนื่องและใช้ในเชิงพาณิชย์แล้วในรุ่น A-Class , B-Class และรถบัสโดยสารรุ่น Citaro ได้เริ่มใช้งานแล้วในหลายประเทศทั่วโลก อาทิ แคลิฟอร์เนีย เบอร์ลิน สิงคโปร์ ออสเตรียเลีย และจีน เป็นต้น