ถ้าเป็นสักเมื่อ 10 ปีที่แล้ว รถยนต์พลังไฟฟ้าถือเป็นของเกินเอื้อมสำหรับคนทั่วไป เพราะต้นทุนของเทคโนโลยีทั้งในเรื่องการพัฒนาและส่วนประกอบยังมีราคาแพง จึงทำให้ไม่ได้รับความนิยมและไม่แพร่หลาย จนสุดท้ายก็ต้องถึงทางตันไปโดยปริยาย เพราะว่า EV1 ในฐานะรถยนต์พลังไฟฟ้าเชิงพาณิชย์รุ่นแรก เกิดมาเร็วไปหน่อย
อย่างไรก็ตาม จากปัจจัยที่ต้นทุนของเทคโนโลยีต่ำลง แบตเตอรี่ถูกพัฒนาให้มีประสิทธิภาพทั้งในเรื่องของขนาดและการใช้งาน รวมถึงการความพยายามปลุกกระแสให้รถยนต์พลังไฟฟ้ากลับมาแจ้งเกิดอีกครั้ง การพัฒนารถยนต์พลังไฟฟ้าให้สามารถขายในเชิงพาณิชย์ และมีการผลิตในปริมาณที่ไม่ต่างจากรถยนต์ทั่วไปไม่ใช่ความฝันอีกต่อไป
นิสสันจัดการเปิดตัว LEAF รถยนต์พลังไฟฟ้าที่จะมีขายในเชิงพาณิชย์รุ่นแรกของบริษัทออกมาแล้ว ซึ่งชื่อรุ่นของตัวรถเป็นคำที่เกิดจากตัวย่อ Leading, Environmentally Friendly, Affordable, Family Car แปลตรงตัวแล้วก็หมายถึงรถยนต์สำหรับครอบครัวเพื่อสิ่งแวดล้อมในราคาที่สามารถเป็นเจ้าของได้
ในการที่จะทำให้รถยนต์พลังไฟฟ้าบูมได้ คำว่า Affordable, Family Car ตรงนี้สำคัญไม่แพ้กับการก้าวข้ามข้อจำกัดในการใช้งานของรถยนต์พลังไฟฟ้าให้ได้ ซึ่งในตอนนี้รถยนต์พลังไฟฟ้ารุ่นใหม่ๆ สามารถทำได้แล้ว ซึ่งแบตเตอรี่แบบลิเธียม-ไออน นอกจากจะมีขนาดเล็กลงแต่ให้ประสิทธิภาพที่ดีขึ้นในการใช้งานแล้ว ยังใช้เวลาในการชาร์จน้อยลงอีกด้วย อย่างในนิสสัน LEAF แบตเตอรี่ขนาด 90 KW จะมีโหมดควิกชาร์จให้เลือกด้วยเวลาเพียง 30 นาทีในการชาร์จกระแสไฟฟ้าจนอยู่ในระดับ 80%
นั่นเท่ากับว่าเมื่อชาร์จจนเต็ม (ซึ่งต้องใช้เวลานานเอาเรื่องถึง 8 ชั่วโมง) จะขับได้ระยะทางมากกว่า 160 กิโลเมตร ถ้าคิดเป็นบัญญัติไตรยางค์ เท่ากับว่า 80% จะวิ่งได้ 128 กิโลเมตร ซึ่งก็น่าจะเพียงแล้วสำหรับการใช้งาน 1 วันสำหรับคนเมือง และช่วยเพิ่มความสะดวกในการใช้งาน แถมมอเตอร์ไฟฟ้าแบบ AC ขนาด 80 กิโลวัตต์ ซึ่งสามารถสร้างแรงบิดได้ 28.5 กก.-ม.ยังมีสมรรถนะดีสามารถพารถให้แล่นทำความเร็วสูงสุดได้ 140 กิโลเมตร/ชั่วโมง
อีกทั้งจากความแพร่หลายของจุดเชื่อมต่อสาธารณะที่เริ่มมีมากขึ้นในเมืองใหญ่ๆ ทำให้เรื่องของระยะทางในการแล่นของรถยนต์พลังไฟฟ้าแทบไม่ใช้อุปสรรคสำคัญอีกต่อไป ซึ่งใน LEAF เองก็ยังมีระบบ Connected Mobility IT System ซึ่งจะทำงานร่วมกับระบบนำทางในการค้นหาจุดชาร์จกระแสไฟฟ้าบนพื้นที่สาธารณะ จึงไม่ต้องเป็นห่วงในเรื่องนี้
ต้นทุนที่ลดลงจนนิสสันบอกว่าสามารถเป็นเจ้าของได้นั้น ส่วนหนึ่งน่าจะมาจากการแชร์พื้นฐานร่วมกับรถยนต์ที่มีขายอยู่ในตลาดแล้ว เพราะถ้าดูให้ดีโดยไม่นับรายละเอียดด้านท้ายและชิ้นส่วนในห้องโดยสารที่เปลี่ยนไปแล้ว LEAF มีโครงสร้างของตัวถังด้านหน้าจนถึงประตูบานหน้าคล้ายกับนิสสัน ทีด้า แถมมิติตัวถังก็ใกล้เคียงกัน จะต่างกันก็ตรงระยะฐานล้อของ LEAF ที่เพิ่มเป็น 2,700 มิลลิเมตร มากกว่าทีด้าอยู่ 100 มิลลิเมตรเท่านั้น
การลดต้นทุนด้วยการแชร์พื้นฐานร่วมกัน แต่ยอมจ่ายอีกนิดเพื่อปรับปรุงรายละเอียดของตัวรถในบางจุดเพื่อให้รู้สึกว่าเป็นของใหม่แกะกล่องเป็นสิ่งที่ผู้ผลิตรถยนต์ญี่ปุ่นชำนาญอยู่แล้ว อีกทั้งก่อนหน้าการเปิดตัวของ LEAF นิสสันก็นำต้นแบบรุ่น EV-11 ที่ใช้ตัวถังของทีด้าเป็นแม่แบบของการพัฒนาระบบพลังไฟฟ้ามาเปิดตัว ก็เลยถูกคาดหมายว่า LEAF กับทีด้าน่าจะมีความเกี่ยวพันกัน
ไม่ต้องรอกันนาน เพราะหลังเปิดตัวเมื่อวันที่ 2 สิงหาคมที่ผ่านมาแล้ว นิสสันยืนยันว่าจะผลิต LEAF ออกขายในช่วงต้นปี 2010 แต่จะจำกัดตลาดก่อน โดยเริ่มที่ญี่ปุ่น สหรัฐอเมริกา และยุโรป ซึ่งไลน์ผลิตของ LEAF จะอยู่ที่โรงงาน Oppama ประเทศญี่ปุ่น ส่วนราคายังไม่เปิดเผย แต่คาดว่าจะอยู่ในระดับ 28,000 เหรียญสหรัฐฯ หรือ 980,000 บาท
อย่างไรก็ตาม จากปัจจัยที่ต้นทุนของเทคโนโลยีต่ำลง แบตเตอรี่ถูกพัฒนาให้มีประสิทธิภาพทั้งในเรื่องของขนาดและการใช้งาน รวมถึงการความพยายามปลุกกระแสให้รถยนต์พลังไฟฟ้ากลับมาแจ้งเกิดอีกครั้ง การพัฒนารถยนต์พลังไฟฟ้าให้สามารถขายในเชิงพาณิชย์ และมีการผลิตในปริมาณที่ไม่ต่างจากรถยนต์ทั่วไปไม่ใช่ความฝันอีกต่อไป
นิสสันจัดการเปิดตัว LEAF รถยนต์พลังไฟฟ้าที่จะมีขายในเชิงพาณิชย์รุ่นแรกของบริษัทออกมาแล้ว ซึ่งชื่อรุ่นของตัวรถเป็นคำที่เกิดจากตัวย่อ Leading, Environmentally Friendly, Affordable, Family Car แปลตรงตัวแล้วก็หมายถึงรถยนต์สำหรับครอบครัวเพื่อสิ่งแวดล้อมในราคาที่สามารถเป็นเจ้าของได้
ในการที่จะทำให้รถยนต์พลังไฟฟ้าบูมได้ คำว่า Affordable, Family Car ตรงนี้สำคัญไม่แพ้กับการก้าวข้ามข้อจำกัดในการใช้งานของรถยนต์พลังไฟฟ้าให้ได้ ซึ่งในตอนนี้รถยนต์พลังไฟฟ้ารุ่นใหม่ๆ สามารถทำได้แล้ว ซึ่งแบตเตอรี่แบบลิเธียม-ไออน นอกจากจะมีขนาดเล็กลงแต่ให้ประสิทธิภาพที่ดีขึ้นในการใช้งานแล้ว ยังใช้เวลาในการชาร์จน้อยลงอีกด้วย อย่างในนิสสัน LEAF แบตเตอรี่ขนาด 90 KW จะมีโหมดควิกชาร์จให้เลือกด้วยเวลาเพียง 30 นาทีในการชาร์จกระแสไฟฟ้าจนอยู่ในระดับ 80%
นั่นเท่ากับว่าเมื่อชาร์จจนเต็ม (ซึ่งต้องใช้เวลานานเอาเรื่องถึง 8 ชั่วโมง) จะขับได้ระยะทางมากกว่า 160 กิโลเมตร ถ้าคิดเป็นบัญญัติไตรยางค์ เท่ากับว่า 80% จะวิ่งได้ 128 กิโลเมตร ซึ่งก็น่าจะเพียงแล้วสำหรับการใช้งาน 1 วันสำหรับคนเมือง และช่วยเพิ่มความสะดวกในการใช้งาน แถมมอเตอร์ไฟฟ้าแบบ AC ขนาด 80 กิโลวัตต์ ซึ่งสามารถสร้างแรงบิดได้ 28.5 กก.-ม.ยังมีสมรรถนะดีสามารถพารถให้แล่นทำความเร็วสูงสุดได้ 140 กิโลเมตร/ชั่วโมง
อีกทั้งจากความแพร่หลายของจุดเชื่อมต่อสาธารณะที่เริ่มมีมากขึ้นในเมืองใหญ่ๆ ทำให้เรื่องของระยะทางในการแล่นของรถยนต์พลังไฟฟ้าแทบไม่ใช้อุปสรรคสำคัญอีกต่อไป ซึ่งใน LEAF เองก็ยังมีระบบ Connected Mobility IT System ซึ่งจะทำงานร่วมกับระบบนำทางในการค้นหาจุดชาร์จกระแสไฟฟ้าบนพื้นที่สาธารณะ จึงไม่ต้องเป็นห่วงในเรื่องนี้
ต้นทุนที่ลดลงจนนิสสันบอกว่าสามารถเป็นเจ้าของได้นั้น ส่วนหนึ่งน่าจะมาจากการแชร์พื้นฐานร่วมกับรถยนต์ที่มีขายอยู่ในตลาดแล้ว เพราะถ้าดูให้ดีโดยไม่นับรายละเอียดด้านท้ายและชิ้นส่วนในห้องโดยสารที่เปลี่ยนไปแล้ว LEAF มีโครงสร้างของตัวถังด้านหน้าจนถึงประตูบานหน้าคล้ายกับนิสสัน ทีด้า แถมมิติตัวถังก็ใกล้เคียงกัน จะต่างกันก็ตรงระยะฐานล้อของ LEAF ที่เพิ่มเป็น 2,700 มิลลิเมตร มากกว่าทีด้าอยู่ 100 มิลลิเมตรเท่านั้น
การลดต้นทุนด้วยการแชร์พื้นฐานร่วมกัน แต่ยอมจ่ายอีกนิดเพื่อปรับปรุงรายละเอียดของตัวรถในบางจุดเพื่อให้รู้สึกว่าเป็นของใหม่แกะกล่องเป็นสิ่งที่ผู้ผลิตรถยนต์ญี่ปุ่นชำนาญอยู่แล้ว อีกทั้งก่อนหน้าการเปิดตัวของ LEAF นิสสันก็นำต้นแบบรุ่น EV-11 ที่ใช้ตัวถังของทีด้าเป็นแม่แบบของการพัฒนาระบบพลังไฟฟ้ามาเปิดตัว ก็เลยถูกคาดหมายว่า LEAF กับทีด้าน่าจะมีความเกี่ยวพันกัน
ไม่ต้องรอกันนาน เพราะหลังเปิดตัวเมื่อวันที่ 2 สิงหาคมที่ผ่านมาแล้ว นิสสันยืนยันว่าจะผลิต LEAF ออกขายในช่วงต้นปี 2010 แต่จะจำกัดตลาดก่อน โดยเริ่มที่ญี่ปุ่น สหรัฐอเมริกา และยุโรป ซึ่งไลน์ผลิตของ LEAF จะอยู่ที่โรงงาน Oppama ประเทศญี่ปุ่น ส่วนราคายังไม่เปิดเผย แต่คาดว่าจะอยู่ในระดับ 28,000 เหรียญสหรัฐฯ หรือ 980,000 บาท
