บีเอ็มดับเบิลยู ประเทศไทย ปล่อยตัว BMW 520d เวอร์ชั่น Corporate Edition ตัดออฟชั่นเล็กน้อย ลงราคาเหลือ 2,999,000 บาท ถูกกว่าเดิมรวดเดียว 7 แสนบาท หวังเจาะกลุ่มเป้าหมาย “รถผู้บริหาร” สำหรับนักธุรกิจรุ่นใหม่
คาร์ล รูดิเกอร์ ผู้อำนวยการฝ่ายขายและการตลาด กล่าวว่า “การศึกษาและวิจัยพฤติกรรมของผู้บริโภคในกลุ่มรถยนต์ระดับพรีเมี่ยมบ่งชี้ว่าลูกค้าในกลุ่มเซ็กเมนท์นักธุรกิจระดับผู้บริหารนั้นมีความต้องการที่เฉพาะเจาะจง กล่าวคือ นอกจากจะต้องการความหรูหรา สะดวกสบาย และความปลอดภัยแล้ว ยังให้ความสำคัญในการควบคุมภาระค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษา รวมถึงความประหยัดน้ำมัน ซึ่งเรียกรวมกันว่า ‘Cost Of Ownership’
“บีเอ็มดับเบิลยู จึงตัดสินใจเผยโฉมรถ 520d เวอร์ชั่น Corporate Edition ในราคา 2,999,000 บาท โดยจะขายจำนวนจำกัด ล็อตแรกมีเพึยง 48 คัน ขณะที่ล็อตต่อไปยังไม่แน่นอน ส่วนสิ่งที่หายไปจากรุ่นปกติ ได้แก่ ระบบ เปิดประตูอัฉริยะ(Comfort Access), ไฟหน้าซีนอน เปลี่ยนเป็นแบบฮาโลเจน, ซีดี เชนจ์เจอร์, ฟังก์ชันบางอย่างบนพวงมาลัย และลายไม้ที่เปลี่ยนไป”
สำหรับอุปกรณ์มาตรฐานอื่นๆ ยังคงเหมือนเดิมไม่ว่าจะเป็น ระบบศูนย์บัญชาการข้อมูล iDrive ระบบควบคุมระยะการจอด PDC Parking Distance Control ที่โชว์ภาพผ่านระบบจอมอนิเตอร์ ระบบพวงมาลัยมัลติฟังก์ชั่นสามารถควบคุมสั่งการระบบเครื่องเสียง ม่านบังแดดกระจกหลังแบบควบคุมด้วยไฟฟ้าและม่านบังแดดประตูหลัง ไฟหน้าพร้อมระบบปรับระดับสูง-ต่ำของลำแสงอัตโนมัติ ระบบสั่งการปัดน้ำฝนอัตโนมัติพร้อมระบบตัดแสงสำหรับกระจกมองหลัง ระบบเปิด-ปิดไฟหน้าอัตโนมัติเมื่อเข้าที่มืด และระบบ Bluetooth เชื่อมต่อกับโทรศัพท์มือถือสำหรับการสื่อสารแบบแฮนด์ฟรีเพื่อการขับขี่ที่ปลอดภัย
ทั้งนี้ 520d มากับเครื่องยนต์ดีเซล 4 สูบขนาด 2.0 ลิตร พร้อมด้วยเทคโนโลยีระบบฉีดน้ำมัน Common Rail Direct Injection เจเนอเรชั่นที่ 3 และเทคโนโลยีหัวฉีดแบบ Piezo ระบบอัดอากาศแบบเทอร์โบแปรผัน ให้กำลังสูงสุด 177 แรงม้าที่ 4,000 รอบและแรงบิดสูงสุด 350 นิวตัน-เมตร ระหว่าง 1,750-3,000 รอบ พร้อมกับเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีดแบบ Steptronic ส่งผลให้ BMW 520d สามารถเร่งจาก 0 ถึง 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงได้ในเวลาเพียง 8.4 วินาที มีอัตราการประหยัดน้ำมันเฉลี่ยที่ 16.4 กิโลเมตรต่อลิตร และคายไอเสียคาร์บอนไดอ๊อกไซด์เพียง 162 กรัมต่อกิโลเมตร
นอกจากนี้ 520d Corporate Edition ยังมีโปรแกรม BSI BMW Service Inclusive ซึ่งเป็นโปรแกรมบำรุงรักษาและซ่อมแซมเป็นระยะเวลา 5 ปีหรือ 100,000 กิโลเมตร ช่วยให้ผู้ซื้อบริหารค่าใช้จ่ายในระหว่างการใช้งานได้คง
คาร์ล รูดิเกอร์ ผู้อำนวยการฝ่ายขายและการตลาด กล่าวว่า “การศึกษาและวิจัยพฤติกรรมของผู้บริโภคในกลุ่มรถยนต์ระดับพรีเมี่ยมบ่งชี้ว่าลูกค้าในกลุ่มเซ็กเมนท์นักธุรกิจระดับผู้บริหารนั้นมีความต้องการที่เฉพาะเจาะจง กล่าวคือ นอกจากจะต้องการความหรูหรา สะดวกสบาย และความปลอดภัยแล้ว ยังให้ความสำคัญในการควบคุมภาระค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษา รวมถึงความประหยัดน้ำมัน ซึ่งเรียกรวมกันว่า ‘Cost Of Ownership’
“บีเอ็มดับเบิลยู จึงตัดสินใจเผยโฉมรถ 520d เวอร์ชั่น Corporate Edition ในราคา 2,999,000 บาท โดยจะขายจำนวนจำกัด ล็อตแรกมีเพึยง 48 คัน ขณะที่ล็อตต่อไปยังไม่แน่นอน ส่วนสิ่งที่หายไปจากรุ่นปกติ ได้แก่ ระบบ เปิดประตูอัฉริยะ(Comfort Access), ไฟหน้าซีนอน เปลี่ยนเป็นแบบฮาโลเจน, ซีดี เชนจ์เจอร์, ฟังก์ชันบางอย่างบนพวงมาลัย และลายไม้ที่เปลี่ยนไป”
สำหรับอุปกรณ์มาตรฐานอื่นๆ ยังคงเหมือนเดิมไม่ว่าจะเป็น ระบบศูนย์บัญชาการข้อมูล iDrive ระบบควบคุมระยะการจอด PDC Parking Distance Control ที่โชว์ภาพผ่านระบบจอมอนิเตอร์ ระบบพวงมาลัยมัลติฟังก์ชั่นสามารถควบคุมสั่งการระบบเครื่องเสียง ม่านบังแดดกระจกหลังแบบควบคุมด้วยไฟฟ้าและม่านบังแดดประตูหลัง ไฟหน้าพร้อมระบบปรับระดับสูง-ต่ำของลำแสงอัตโนมัติ ระบบสั่งการปัดน้ำฝนอัตโนมัติพร้อมระบบตัดแสงสำหรับกระจกมองหลัง ระบบเปิด-ปิดไฟหน้าอัตโนมัติเมื่อเข้าที่มืด และระบบ Bluetooth เชื่อมต่อกับโทรศัพท์มือถือสำหรับการสื่อสารแบบแฮนด์ฟรีเพื่อการขับขี่ที่ปลอดภัย
ทั้งนี้ 520d มากับเครื่องยนต์ดีเซล 4 สูบขนาด 2.0 ลิตร พร้อมด้วยเทคโนโลยีระบบฉีดน้ำมัน Common Rail Direct Injection เจเนอเรชั่นที่ 3 และเทคโนโลยีหัวฉีดแบบ Piezo ระบบอัดอากาศแบบเทอร์โบแปรผัน ให้กำลังสูงสุด 177 แรงม้าที่ 4,000 รอบและแรงบิดสูงสุด 350 นิวตัน-เมตร ระหว่าง 1,750-3,000 รอบ พร้อมกับเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีดแบบ Steptronic ส่งผลให้ BMW 520d สามารถเร่งจาก 0 ถึง 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงได้ในเวลาเพียง 8.4 วินาที มีอัตราการประหยัดน้ำมันเฉลี่ยที่ 16.4 กิโลเมตรต่อลิตร และคายไอเสียคาร์บอนไดอ๊อกไซด์เพียง 162 กรัมต่อกิโลเมตร
นอกจากนี้ 520d Corporate Edition ยังมีโปรแกรม BSI BMW Service Inclusive ซึ่งเป็นโปรแกรมบำรุงรักษาและซ่อมแซมเป็นระยะเวลา 5 ปีหรือ 100,000 กิโลเมตร ช่วยให้ผู้ซื้อบริหารค่าใช้จ่ายในระหว่างการใช้งานได้คง