xs
xsm
sm
md
lg

ML 280 CDI Sports หรูใช่ ลุยพร้อม

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ยังคงเป็นภาพติดตาของผู้เขียนทุกครั้งที่เห็นรถในตระกูล เอ็มแอล (ML) ของค่ายเมอร์เซเดส-เบนซ์ กับฉากฉุดกระชากลากถูกับไดโนเสาร์ ในภาพยนต์เรื่อง จูราสสิค พาร์ค ซึ่งทางค่ายดาวสามแฉกเลือกใช้สื่อภาพยนต์ในการเปิดตัวโมเดลสายพันธ์ใหม่ออกสู่สายตาชาวโลกเป็นครั้งแรก เมื่อราวปี 1997

นับเป็นการตัดสินใจถูกต้อง ด้วยภาพที่สื่ออยู่ในหนังสามารถแสดงถึงสมรรถนะของตัวรถได้อย่างครบถ้วน (แม้ว่าสุดท้ายจะพ่ายแพ้ต่อแรงของไดโนเสาร์ในเรื่องก็ตาม) แต่สิ่งที่เราเห็นคือ สมรรถนะของรถเต็มเปี่ยมไปด้วยพละกำลังพร้อมลุยทุกพื้นที่ เคียงคู่มากับภาพลักษณ์ของผู้ครอบครองแสดงถึงความเป็นบุคคลไม่ธรรมดา

ทั้งหมดนั้นเป็นเหตุการณ์ครั้งเปิดตัวเมื่อราว 10 กว่าปีก่อน ล่าสุด เมอร์เซเดส-เบนซ์ ประเทศไทย เปิดตัว เอ็มแอล เจเนอเรชั่นที่ 2 (W164)โฉมเฟซลิฟ(ไมเนอร์เชนจ์) ในช่วงงานมอเตอร์โชว์ 2009 โดยเลือกทำตลาดด้วยรุ่นย่อยเพียงหนึ่งเดียวคือ เอ็มแอล 280 ซีดีไอ สปอร์ต (ML 280 CDI Sports) แบบเครื่องยนต์ดีเซล

ซึ่งรูปโฉมภายนอกได้รับการตกแต่งด้วยชุดแต่งสปอร์ตรอบคันเป็นมาตรฐานจากโรงงานเรียบร้อย หรือมองในอีกมุมหนึ่งคือไม่มีทางเลือกสำหรับรุ่นโฉมธรรมดา จะมีเพียงรุ่นที่ตกแต่งแล้วเท่านั้น แตกต่างจากตลาดอื่นทั่วโลกที่อาจจะมีให้เลือกทั้งรุ่นโฉมธรรมดา และทางเลือกเครื่องยนต์เบนซินและดีเซล

ทั้งนี้เหตุผลที่เบนซ์เลือกทำตลาดเพียงรุ่นเดียวเนื่องจาก พิกัดอัตราภาษีสรรพษามิต ที่ประกาศใช้เมื่อหลายปีก่อนทำให้รถประเภทเอสยูวีขับเคลื่อน 4 ล้อเสียภาษีเพิ่มขึ้นจนทำให้ราคาขายถีบตัวสูงมากเป็นเท่าตัวจากเดิมเคยขายราว 5-6 ล้านบาท ก็จะต้องมาขายราว 10 ล้านบาท ตัวอย่างเช่น ปอร์เช่ คาเยนน์ เป็นต้น

อย่างไรก็ตามทางเบนซ์เผยว่า หากมีเศรษฐีคนใดสนใจรุ่นอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นรถรุ่นอะไร ที่มีอยู่ในไลน์ผลิตของเมอร์เซเดส-เบนซ์ทั่วโลก ทางเบนซ์ ประเทศไทย สามารถสั่งมาสนองตอบความต้องการของท่านได้ โดยมีเงื่อนไขเล็กๆ น้อยๆ แตกต่างจากรถที่นำเข้ามาทำตลาดอย่างเป็นทางการ ซึ่งคุณต้องเข้าไปคุยเอง

นอกเรื่องไปนิด กลับมาต่อกันในด้านรูปโฉมภายนอกของเอ็มแอล สิ่งที่ได้รับการปรับเปลี่ยนมีหลายรายการอาทิ กันชนหน้าและกระจังหน้าใหม่เคลือบสีโครเมี่ยม มีการเปลี่ยนตำแหน่งของดวงไฟในโคมไฟหน้า กันชนหลังมาพร้อมกับแถบสะท้อนแสงและไฟท้ายรมดำเพิ่มความดุดันสไตล์สปอร์ต

ส่วนชุดแต่งแบบสปอร์ตที่เพิ่มเติมมา ได้แก่ ล้ออัลลอยขนาด 19 นิ้ว พร้อมยาง 255/50 R19 ปลายท่อไอเสียสแตนเลส 2 ท่อ ราวหลังคาอลูมิเนียม แผ่นรองกันกระแทกหน้า-หลังสแตนเลส แป้นแบรกและคันเร่งแบบสปอร์ต เบาะนั่งคู่หน้าแบบสปอร์ตพร้อม Lumbar Support สำหรับคนขับ ปรับด้วยไฟฟ้า 4 ทิศทาง และกระจกกรองแสงสีฟ้า

ขณะที่ ภายในนอกจากชุดแต่งสปอร์ตที่เพิ่มเติมแล้ว มีการปรับให้ทันสมัยมากขึ้นพอสมควร เน้นการใช้วัสดุที่ผสมผสานกันอย่างลงตัว ตกแต่งด้วยสีทูโทน แผงข้างประตูบุด้วยหนัง Artico สลับ Alcantaraทำด้วยมือ พวงมาลัยมัลติฟังก์ชั่นทรงสปอร์ต ซันรูฟหลังคากระจก ตรงคอนโซลกลางออกแบบเป็นราวจับเผื่อสำหรับการลุย

และสิ่งที่เป็นจุดเด่นประการหนึ่งคือ ระบบนำทางหรือ Navigator ซึ่งในวันที่เราทดลองขับ ผู้ร่วมเดินได้ทดลองกดเล่นดู เนื่องจากก่อนออกเดินทางทีมงานบอกว่า เป็นรถนำเข้าไม่แน่ใจว่าจะใช้ได้หรือไม่นะ แต่ปรากฏว่า ระบบนำทางแผนที่สามารถใช้งานได้ มีแผนที่เมืองไทยแสดงอยู่ ฉะนั้นมั่นใจว่าซื้อไปแล้ว Naviของเอ็มแอล ที่จำหน่ายโดยเมอร์เซเดส-เบนซ์มีซอฟแวร์รองรับให้ใช้งานได้แน่นอน

สำหรับหัวใจของเอ็มแอล บรรจุเครื่องยนต์ดีเซลขนาด 3.0 ลิตร ให้กำลังสูงสุด 190 แรงม้าที่ 4000 รอบ/นาที แรงบิด 440 นิวตันเมตร ที่รอบ 1400-2800 รอบ/นาที สเปคความสามารถตามระบุในคู่มือ ความเร็วสูงสุด 205 กม./ชม. อัตราสิ้นเปลืองน้ำมันเฉลี่ย 9.1-9.6 ลิตร/ 100 กม. หรือ ราว 10.6 กม./ลิตร น้ำหนักรถ 2.185 ตัน

ระบบขับเคลื่อนเป็นแบบขับ 4 ล้อตลอดเวลา ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 7 สปีด(7G-Tronic) แบบ Direct Select พร้อมระบบเปลี่ยนเกียร์ที่พวงมาลัย ด้านความปลอดภัยมีครบทั้งระบบ Presafe,โปรแกรมควบคุมการทรงตัวอัตโนมัติ ESP และระบบควบคุมการยึดเกาะถนนทั้ง 4 ล้อ (4ETS)

ในส่วนของการทดลองขับ ทีมงานของเมอร์เซเดส-เบนซ์ ประเทศไทย กำหนดให้เราขับจากตึกในย่านใจกลางเมืองขึ้นทางด่วนมุ่งหน้าสู่อยุธยารวมระยะทางที่เราจะได้ขับประมาณ 100 กม. ซึ่งเมื่อเราเข้าไปนั่งประจำการในตำแหน่งสารถีเรียบร้อยความรู้สึกแรก ทำไมรถมันใหญ่จัง และดูสปอร์ตมากผิดลักษณะเดิมของค่ายดาวสามแฉกที่จะเน้นหรูเพียงอย่างเดียว

สอบถามทีมงานได้ความว่า เจ้าเอ็มแอล เป็นรถที่ผลิตจากประเทศสหรัฐอเมริกา(Made in USA) ด้วยเหตุผลเพราะ อเมริกาคือตลาดหลักของรถรุ่นนี้ ทำให้ไลน์ผลิตจึงอยู่ที่นั่น และเพื่อเอาใจอเมริกันชนดังนั้น แนวทางการออกแบบจึงต้องอิงกระแสตลาดของอเมริกาเป็นอันดับ 1

แม้ตัวรถจะรู้สึกว่าใหญ่ แต่การขับวนลงจากที่จอดรถทำได้อย่างสะดวก คล่องตัว ด้วยทัศนวิสัยชัดเจนตามสไตล์รถเอสยูวี ออกอาคารมาก็เจอกับการจราจรที่หนาแน่นพอควร เจ้าเอ็มแอลโชว์ความได้เปรียบให้เห็นเด่นชัดทั้งเวลาเปลี่ยนเลนหรือขอทาง พวงมาลัยแม่นยำ น้ำหนักกำลังดี แถมเบากว่าคู่แข่งอย่าง เอ็กซ์5 ของค่ายใบพัดฟ้าขาว

เมื่อขึ้นทางด่วนเราได้ลองทำความเร็วในย่านต่างๆ พบว่า เอ็มแอล ตอบสนองทันใจดี แต่จะไม่ปรู๊ดปร๊าดเท่ากับเอ็กซ์5 ความเร็วที่เราใช้ส่วนใหญ่อยู่ราว 140 กม./ชม. รถทรงตัวดี นิ่งขับสบายๆ ไม่ต่างจากการวิ่งด้วยความเร็ว 100 กม./ชม.

ความเร็วสูงสุดที่เราขับได้คือราว 190 กม./ชม. ตามการจราจรที่เอื้ออำนวยเพียงเท่านี้ ขณะที่ยังรู้สึกว่า รถสามารถไปได้เร็วกว่านั้นอีก เสียงลมประทะดังรบกวนที่ความเร็วเกินกว่า 150 กม./ชม. ส่วนเสียงเครื่องยนต์มีรบกวนเพียงเล็กน้อย จัดว่าเป็นรถเก็บเสียงดีอีกหนึ่งคัน

ในบางช่วงของการขับมีฝนตกลงมาอย่างหนัก ทำให้ถนนมีน้ำขังเป็นแอ่ง ได้โอกาสทดลองระบบต่างๆ ที่เมอร์เซเดส-เบนซ์เขาใส่ให้ดังที่กล่าวมาแล้ว โดยเราขับรถตลุยลงทุกแอ่งน้ำขังลึกบ้าง ตื้นบ้างต่างกันไป และใช้ หลากหลายความเร็วตั้งแต่ 60-120 กม./ชม. พบว่า รถยังทรงตัวได้ดีทุกแอ่งที่ลุย ไม่มีอาการเหินน้ำหรือล้อถูกดึงให้เราสัมผัสได้เลย

เราลุยทั้งหมดกี่แอ่งจำไม่ได้แต่มากกว่า 20 ครั้งอย่างแน่นอน ซึ่งมีเพียงแอ่งเดียวที่หน้าจอ โชว์สัญลักษณ์ ระบบช่วยควบคุมการทรงตัว ออกโรงทำงาน แต่เราไม่รู้สึกว่ารถเสียการทรงตัวแต่อย่างใด เรียกว่าระบบที่ให้มาใช้งานได้ดีจริง


หลังจากขับถึงจุดหมายปลายทางความรู้สึกโดยรวมในการขับสบายไม่แตกต่างจากรถซีดาน แถมได้มุมมองและสมรรถนะที่เหนือกว่าอีกหลายอย่าง

สรุป เอ็มแอล ขับง่าย ขับสนุก กับราคาค่าตัว 6.299 ล้านบาท เท่ากันพอดีกับคู่แข่งอย่าง บีเอ็มดับเบิลยู เอ็กซ์5 เครื่องยนต์ดีเซลเหมือนกันอีกด้วย แต่จะต่างกันที่ความแรงและออพชัน รวมถึงภาพลักษณ์ที่สะท้อนมายังผู้เป็นเจ้าของ ใครที่มีกำลังทรัพย์พอแนวทางการเลือกคือ “ต้องลองขับดูแล้วจะรู้ว่าคันไหนตรงใจคุณ”












กำลังโหลดความคิดเห็น