ข่าวในประเทศ - ตลาดแบตเตอรี่ปี 52 เริ่มเดือด หลังยอดผลิตตกกว่า 17% เน้นกลยุทธ์เข้าถึงผู้ใช้ ด้าน3Kแบตเตอรี่ แนะทำกิจกรรมต่อเนื่อง สร้างประโยชน์ให้ผู้บริโภค ระบุอุตสาหกรรมโดยรวมมีแนวโน้มชะลอตัว หลังได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจและยอดขายรถยนต์ที่ชะลอตัว
นายวีรวัฒน์ ขอไพบูลย์ กรรมการบริษัท ไทยสโตเรจแบตเตอรี่ จำกัด (มหาชน) และกรรมการผู้จัดการบริษัท ผลิตภัณฑ์ 3เค จำกัด เปิดเผยว่า ภาพรวมของตลาดแบตเตอรี่รถยนต์ในปีนี้จะมีการแข่งขันที่รุนแรงมากขึ้น แต่รูปแบบของการแข่งขันจะเปลี่ยนไปจากเดิม ที่เป็นการแข่งขันในรูปแบบของการตัดราคา เป็นการแข่งขันในแง่ของการสร้างความเชื่อมั่นต่อแบรนด์ รวมทั้งสร้างผลประโยชน์ให้กับผู้บริโภคที่เลือกใช้ผลิตภัณฑ์มากยิ่งขึ้น
“ตลาดที่แข่งขันแรงขึ้นในปีนี้ ถือเป็นเรื่องที่ดี เป็นการแข่งขันในเชิงสร้างสรรค์ ผู้ผลิตและจำหน่ายแบตเตอรี่หันมาให้ความสำคัญกับการสร้างผลประโยชน์ให้กับผู้บริโภค อย่างไรก็ตามแต่ละรายควรเน้นความต่อเนื่องในการดำเนินกลยุทธ์ นายวีรวัฒน์ กล่าว
ส่วนการกำหนดกลยุทธ์ของ 3K แบตเตอรี่ ในปีนี้ จะแบ่งกิจกรรมออกเป็นสองส่วน โดยส่วนแรกเป็นกิจกรรมทางการตลาดที่สื่อสารกับกลุ่มผู้ใช้รถยนต์ทั่วไป อาทิ บริการช่วยเหลือฉุกเฉิน 24 ชม., การร่วมจัดกิจกรรมโรดโชว์ในห้างโมเดิร์นเทรด, การจัดโปรโมชั่นของสมนาคุณในรูปแบบต่างๆ ฯลฯ ในส่วนที่สองเป็นกิจกรรมทางการตลาดที่สื่อสารกับกลุ่มผู้ใช้แบบเฉพาะกลุ่ม ซึ่งในปีนี้เราสนับสนุนกีฬา Motor Sport อย่างจริงจัง โดยเน้นไปที่กลุ่มผู้รักกีฬาการแข่งขันรถยนต์
นายวีรวัฒน์ กล่าวต่อไปถึงภาพรวมการผลิตและจำหน่ายแบตเตอรี่รถยนต์ในช่วงครึ่งแรกปี 52 ว่า ยอดจำหน่ายโดยรวมของตลาดทั้งในส่วนของ OEM และ REM มีแนวโน้มชะลอตัวลงจากปัจจัยหลายประการ อาทิ ยอดผลิตและจำหน่ายที่ลดลงของอุตสาหกรรมยานยนต์ รอบของการเปลี่ยนแบตเตอรี่ในส่วนของรถยนต์เชิงพาณิชย์ที่ยาวขึ้น และกำลังซื้อของผู้บริโภคที่ลดลง
สำหรับยอดรวมของการผลิตแบตเตอรี่รถยนต์ในประเทศล่าสุด ในช่วงระหว่างเดือน ม.ค.-ก.พ. 52 มีจำนวนทั้งสิ้น 1,048,035 ลูก ลดลง 17.63% จากช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา ซึ่งมียอดผลิตรวมอยู่ที่ 1,272,305 ลูก ขณะที่ยอดจำหน่ายในประเทศรวมอยู่ที่ 715,072 ลูก แบ่งเป็นแบตเตอรี่ติดรถใหม่ OEM จำนวน 133,523 ลูก (เท่ากับจำนวนยอดผลิตรถยนต์ในประเทศ) และ แบตเตอรี่ทดแทน REM จำนวน 581,549 ลูก
ทั้งนี้จากสถานการณ์ดังกล่าว ผู้ผลิตและจำหน่ายแบตเตอรี่ควรดำเนินธุรกิจด้วยความระมัดระวัง ไม่มุ่งเน้นการกระตุ้นยอดขายมากเกินไป แต่จะต้องให้ความสำคัญกับการควบคุมต้นทุน กระแสเงินสด รวมทั้งอัตราส่วนกำไรขั้นต้นให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม
นายวีรวัฒน์ ขอไพบูลย์ กรรมการบริษัท ไทยสโตเรจแบตเตอรี่ จำกัด (มหาชน) และกรรมการผู้จัดการบริษัท ผลิตภัณฑ์ 3เค จำกัด เปิดเผยว่า ภาพรวมของตลาดแบตเตอรี่รถยนต์ในปีนี้จะมีการแข่งขันที่รุนแรงมากขึ้น แต่รูปแบบของการแข่งขันจะเปลี่ยนไปจากเดิม ที่เป็นการแข่งขันในรูปแบบของการตัดราคา เป็นการแข่งขันในแง่ของการสร้างความเชื่อมั่นต่อแบรนด์ รวมทั้งสร้างผลประโยชน์ให้กับผู้บริโภคที่เลือกใช้ผลิตภัณฑ์มากยิ่งขึ้น
“ตลาดที่แข่งขันแรงขึ้นในปีนี้ ถือเป็นเรื่องที่ดี เป็นการแข่งขันในเชิงสร้างสรรค์ ผู้ผลิตและจำหน่ายแบตเตอรี่หันมาให้ความสำคัญกับการสร้างผลประโยชน์ให้กับผู้บริโภค อย่างไรก็ตามแต่ละรายควรเน้นความต่อเนื่องในการดำเนินกลยุทธ์ นายวีรวัฒน์ กล่าว
ส่วนการกำหนดกลยุทธ์ของ 3K แบตเตอรี่ ในปีนี้ จะแบ่งกิจกรรมออกเป็นสองส่วน โดยส่วนแรกเป็นกิจกรรมทางการตลาดที่สื่อสารกับกลุ่มผู้ใช้รถยนต์ทั่วไป อาทิ บริการช่วยเหลือฉุกเฉิน 24 ชม., การร่วมจัดกิจกรรมโรดโชว์ในห้างโมเดิร์นเทรด, การจัดโปรโมชั่นของสมนาคุณในรูปแบบต่างๆ ฯลฯ ในส่วนที่สองเป็นกิจกรรมทางการตลาดที่สื่อสารกับกลุ่มผู้ใช้แบบเฉพาะกลุ่ม ซึ่งในปีนี้เราสนับสนุนกีฬา Motor Sport อย่างจริงจัง โดยเน้นไปที่กลุ่มผู้รักกีฬาการแข่งขันรถยนต์
นายวีรวัฒน์ กล่าวต่อไปถึงภาพรวมการผลิตและจำหน่ายแบตเตอรี่รถยนต์ในช่วงครึ่งแรกปี 52 ว่า ยอดจำหน่ายโดยรวมของตลาดทั้งในส่วนของ OEM และ REM มีแนวโน้มชะลอตัวลงจากปัจจัยหลายประการ อาทิ ยอดผลิตและจำหน่ายที่ลดลงของอุตสาหกรรมยานยนต์ รอบของการเปลี่ยนแบตเตอรี่ในส่วนของรถยนต์เชิงพาณิชย์ที่ยาวขึ้น และกำลังซื้อของผู้บริโภคที่ลดลง
สำหรับยอดรวมของการผลิตแบตเตอรี่รถยนต์ในประเทศล่าสุด ในช่วงระหว่างเดือน ม.ค.-ก.พ. 52 มีจำนวนทั้งสิ้น 1,048,035 ลูก ลดลง 17.63% จากช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา ซึ่งมียอดผลิตรวมอยู่ที่ 1,272,305 ลูก ขณะที่ยอดจำหน่ายในประเทศรวมอยู่ที่ 715,072 ลูก แบ่งเป็นแบตเตอรี่ติดรถใหม่ OEM จำนวน 133,523 ลูก (เท่ากับจำนวนยอดผลิตรถยนต์ในประเทศ) และ แบตเตอรี่ทดแทน REM จำนวน 581,549 ลูก
ทั้งนี้จากสถานการณ์ดังกล่าว ผู้ผลิตและจำหน่ายแบตเตอรี่ควรดำเนินธุรกิจด้วยความระมัดระวัง ไม่มุ่งเน้นการกระตุ้นยอดขายมากเกินไป แต่จะต้องให้ความสำคัญกับการควบคุมต้นทุน กระแสเงินสด รวมทั้งอัตราส่วนกำไรขั้นต้นให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม
