xs
xsm
sm
md
lg

AASจัดทัพอัครยานยนต์เน้นตัวแรงชงลูกค้ากระเป๋าตุง

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

แท็กทีมลุย -จากซ้าย นที เหลืองอรุณโรจน์ ผู้จัดการทั่วไป บริษัท เบนท์ลีย์ ประเทศไทย จำกัด  เอกราช นพเกตุ ผู้จัดการแผนกขายและการตลาด บริษัท จากัวร์ คาร์ส (ประเทศไทย) จำกัด และ นันทพล จันทน์แดง ผู้อำนวยการขายและตลาด บริษัท  เอเอเอส ออโต้เซอร์วิส จำกัด  เคียงคู่กับรถตัวขายของค่ายตัวเอง
ข่าวในประเทศ - ค่ายเอเอเอส ออโต้เซอร์วิส ยกขบวนซูเปอร์คาร์ และอัครยานยนต์หลากรุ่นเอาใจลูกค้ากระเป๋าหนัก ผ่าน3แบรนด์ในเครือ ปอร์เช่, จากัวร์ และเบนท์ลีย์ โดยค่ายแรกเตรียมส่งซีดานสายพันธุ์ใหม่ “พานาเมอรา” ที่พกหัวใจ วี8 395 แรงม้า และรุ่นเทอร์โบ 493 แรงม้า กับทางเลือก 4 รุ่นย่อย ราคา 16.5 – 22 ล้านบาท มีคิวเปิดตัวเดือนกันยายนนี้ ด้าน “จากัวร์” เล็งตัวแรงของรุ่น “เอ็กซ์เอฟ” และ “เอ็กซ์เค” ที่ต่อท้ายด้วยรหัส “R” พร้อมลุยตั้งแต่กลางปีเป็นต้นไป งานนี้ผู้บริหารหวังปั้นยอดรวมถึง 50 คัน ส่วนรถหรูสัญชาติอังกฤษ“เบนท์ลีย์” เผยทีเด็ด“คอนติเนนตัล ซูเปอร์สปอร์ต”ซึ่งถือเป็นรถแรงสุดของค่าย กับเครื่องยนต์ W12 ขนาด 6.0 ลิตร 630 แรงม้า ค่าหัวทะลุ 30 ล้านบาท โดยลูกค้าสั่งจองได้ปลายปีก่อนส่งมอบปีหน้า พร้อมกันนี้ยังเดินแผนขาย “โรลสรอยซ์” แต่หวังเป็นแค่“เซอร์วิส ดีลเลอร์”เท่านั้น เหตุไม่ต้องลงทุนสูงคาดเจรจาไร้ปัญหา

แม้การเทคโอเวอร์กิจการของปอร์เช่ ที่มีต่อโฟล์คสวาเกนกำลังไปได้สวย และมีทีท่าว่าศึกสายเลือดเยอรมันที่มีความซับซ้อนและยืดเยื้อมานานจะได้ข้อยุติ แต่ด้วยมูลค่าหุ้นมหาศาลรวมถึงความใหญ่โตและโครงสร้างของบริษัทเอง อาจจะใช้เวลาสักระยะหรืออย่างน้อย ต้องให้ปอร์เช่ถือหุ้นเกิน 75%(ปัจจุบันมีกว่า50%) ถึงจะครอบงำการบริหารโฟล์คฯได้แบบเบ็ดเสร็จตามกฎหมาย และไม่ว่าสุดท้ายในอาณาจักรแห่งนี้จะมีอะไรเปลี่ยนแปลง แต่สำหรับการทำตลาดต่างประเทศทั่วโลก รวมถึงไทยน่าจะยังไม่มีผลกระทบในระยะเวลาอันใกล้

ปอร์เช่ พานาเมอรา
สำหรับปอร์เช่ในเมืองไทยดูแลตลาดโดย บริษัท เอเอเอส ออโต้เซอร์วิส จำกัด ของตระกูล “อินทรภูวศักดิ์”ขณะเดียวกันยังเป็นผู้นำเข้าและจำหน่ายแบรนด์“จากัวร์”ที่ฟอร์ดเพิ่งตัดขายรวมกับแลนด์โรเวอร์ให้ “ทาทา”ยักษ์จากอินเดียไปไม่นาน ส่วนอีกแบรนด์ในชายคาเดียวกันคือ “เบนท์ลีย์” รถหรูสัญชาติอังกฤษเจ้าของเยอรมัน(โฟล์คสวาเกน) ...กว่า 2 ทศวรรษของ เอเอเอส บนเส้นทางยานยนต์ไทยนั้น พิสูจน์แล้วว่าการค่อยๆก้าวไปอย่างมั่นคง ผ่านโปรดักต์ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว พร้อมกับการบริการโดยเฉพาะคุณภาพด้านบริการหลังการขายที่เชื่อถือได้ส่งผลให้บริษัทประสบความสำเร็จ บนพื้นฐานลูกค้าอันเหนียวแน่น

สำหรับปีนี้เอเอเอส ยังดำเนินแนวทางดังกล่าวอย่างเข้มแข็ง และอาศัยบริการหลังการขายเป็นตัวนำ พร้อมอาวุธที่สลับหน้าเปลี่ยนตาตามอายุโปรดักต์ หรือไม่ว่ารุ่นไหนที่บริษัทแม่กำเนิดใหม่ ค่ายนี้ก็ไม่พลาดนำมากำนัลลูกค้าเงินหนาเท้าขวาหนักมาโดยตลอด…แล้ว 3 ยี่ห้อทั้ง ปอร์เช่ จากัวร์ เบนท์ลีย์ จะมีอะไรเป็นทีเด็ดบ้าง “ASTVผู้จัดการมอเตอริ่ง” พาไปสำรวจตรวจสอบ


ปอร์เช่ส่งซีดานสายพันธุ์ใหม่

ประเดิมด้วยซูเปอร์คาร์จากเมืองสตุ๊ตการ์ด หลังส่ง “บอกซ์เตอร์ 2.9” และ “เคย์แมน 2.9” ที่ยกระบบส่งกำลังแบบเกียร์ทริปทรอนิคเดิมทิ้งไป แล้วหันมาคบกับระบบเกียร์แบบดับเบิ้ลครัทซ์ 7 สปีด หรือที่ปอร์เช่เรียกว่า PDK โดยเปิดตัวไปเมื่อเมื่อเดือนกุมภาพันธ์กับราคา 7.9 และ 8.9 ล้านบาทตามลำดับ จากนั้นในช่วงเดือนกันยายนนี้ ถึงคิวของสปอร์ตซีดาน 4 ประตู สายพันธุ์ใหม่ของค่ายนั่นคือ “พานาเมอรา”

โดย“พานาเมอรา” เพิ่งเปิดตัวอย่างเป็นทางการสู่สายตาชาวโลกครั้งแรกในงาน “เซี่ยงไฮ้ ออโต้โชว์ 2009” สาธารณรัฐประชาชนจีน เมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา และจะทยอยเปิดตัวพร้อมขายจริงทั่วโลก กับตัวถังซีดานอันโดดเด่น บนพื้นฐานเครื่องยนต์วางหน้า มีให้เลือกทั้งแบบขับเคลื่อนล้อหลังและขับเคลื่อน 4 ล้อ

สำหรับขุมพลังช่วงแรกที่ทำตลาดในไทยจะเป็นเครื่องยนต์เบนซิน ไดเรกอินเจกชัน ขนาด 4.8 ลิตร วี8 ซึ่งในรุ่นหายใจเองจะรีดม้าได้ 395 ตัว ส่วนรุ่นที่ต้องใช้ระบบอัดอากาศ จะให้กำลังสูงสุดถึง 493 แรงม้า ส่งกำลังด้วยเกียร์ PDK 7 สปีด ทั้งนี้เอเอเอสจะแตกไลน์เป็น 4 ทางเลือกคือ รุ่น เอส แบบสแตนดาร์ด ราคา 16.5 ล้านบาท และ เอส แบบฟูลออปชัน ราคา 17.2 ล้านบาท ขณะที่รุ่น 4S ขับเคลื่อน 4 ล้อ ราคา 18.2 ล้านบาท และสุดท้ายรุ่นเทอร์โบ ราคาโดดไปถึง 22 ล้านบาท


นันทพล จันทน์แดง ผู้อำนวยการขายและการตลาด บริษัท เอเอเอส ออโต้เซอร์วิส จำกัด เปิดเผยว่า พานาเมอราในช่วงแรกจะมีเครื่องยนต์ วี8 เท่านั้นที่ทำตลาด โดยปีนี้บริษัทได้โควต้ามาทั้งสิ้น 10 คัน ซึ่งถูกจองหมดไปแล้ว ส่วนปีหน้าบริษัทกำลังเจรจาเรื่องโควต้าอยู่ และคาดว่าจะมีรุ่นเครื่องยนต์แบบ วี6 เข้ามาเสริมด้วย

เมื่อถามถึงภาวะเศรษฐกิจและเป้าหมายของปอร์เช่ปีนี้ นันทพล กล่าวว่า “จริงๆเราได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจน้อย เพราะกลุ่มลูกค้าของเรามีกำลังซื้ออยู่มากอาจมีบางรายชะลอการตัดสินใจ แต่สุดท้ายก็กลับมาซื้ออยู่ดี และคาดว่ายอดขายรวมทุกรุ่นปีนี้จะทำได้ถึง 65 คัน ลดลงจากปีที่แล้วที่ทำได้ 70 คัน”

สำหรับกิจกรรมการตลาดอื่นๆ บริษัทยังจัดปกติ ไม่ได้ลดงบประมาณลงแต่อย่างใด โดยจะเน้นการให้ลูกค้าได้ลองขับสัมผัสกับรถโดยตรง ขณะเดียวกันยังพยายามสื่อสารให้ลูกค้ารับรู้ถึงการบริการหลังการขายที่ได้มาตรฐาน และข้อดีข้อเสียที่แตกต่างจากการไปซื้อกับพวกเกรย์มาร์เก็ตอีกด้วย

“เราไม่ได้จะลงไปสู้กับพวกผู้นำเข้าอิสระ เพราะจริงๆแล้วบรรดาลูกค้าเก่ายังมาซื้อกับเราตลอด มีแต่ลูกค้าใหม่เท่านั้นที่ซื้อกับเกรย์มาร์เก็ต ซึ่งเราอยากประชาสัมพันธ์ว่า ด้วยโชว์รูมและศูนย์บริการที่ถนนวิภาวดีรังสิตนั้น เป็นมาตรฐานเดียวกับปอร์เช่เยอรมันและทั่วโลก ที่สำคัญถ้าลูกค้าซื้อกับเราในกรณีที่ประกันหมดจะสามารถต่อการรับประกันได้สูงสุดถึง 9 ปีเลยทีเดียว พร้อมราคาพิเศษ ”

จากัวร์ เอ็กซ์เอฟอาร์
จากัวร์เติมอาวุธรหัส “R”

ด้านแบรนด์เสือเผ่น “จากัวร์” ที่ทำตลาดโดยบริษัท จากัวร์ คาร์ส (ประเทศไทย) จำกัด สามารถปิดยอดขายในปีที่แล้วถึง 43 คัน โดยหัวหอกปั้นยอดขายต้องยกให้พวก เอส-ไทป์ และเอ็กซ์เจ ส่วนรุ่น “เอ็กซ์เอฟ ใหม่” แม้จะเปิดตัวกลางปี 2551 แต่กว่าจะทยอยส่งมอบได้จริงก็ล่วงเลยมาถึงต้นปี2552แล้ว

อย่างไรก็ตามนั่นเท่ากับว่า ปีนี้อาวุธหลักของจากัวร์ อย่างรุ่น “เอ็กซ์เอฟ” จะมีความพร้อมมากขึ้น ขณะเดียวกัน “เอกราช นพเกตุ” ผู้จัดการแผนกขายและการตลาด ยังแย้มว่า ช่วงกลางปีจะเสริมทัพด้วย สายพันธุ์แรงรหัส “R” ของรุ่น เอ็กซ์เอฟ และ เอ็กซ์เค ไมเนอร์เชนจ์อีกด้วย


เริ่มจากรุ่น เอ็กซ์เอฟ-อาร์ ที่ใต้ฝากระโปรงจะเป็นขุมพลังรหัส AJ-V8 Gen III มีความจุระดับ 5.0 ลิตร พร้อมทวินซูเปอร์ชาร์จ (รุ่นปกติจะเป็น วี8 4.2 ลิตร ซูเปอร์ชาร์จ) พร้อมระบบจ่ายน้ำมันเชื้อเพลิงเข้าสู่ห้องเผาไหม้โดยตรง ให้กำลังสูงสุด 510 แรงม้า ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีดรุ่นใหม่ อัตราเร่ง 0-96 กม./ชม. ทำได้ 4.7 วินาที ส่วนความเร็วสูงสุดจำกัดแค่ 250 กม./ชม. สนนราคาอย่างไม่เป็นทางการน่าจะอยู่ราว 15 ล้านบาท ขณะที่ “เอ็กซ์เค ไมเนอร์เชนจ์” จะใช้เครื่องยนต์บล็อกนี้เช่นกัน แต่มี 2 ทางเลือกคือ รุ่นเอ็กซ์เค-อาร์ และรุ่นธรรมดาที่ไม่เพิ่งพาเทอร์โบ กับราคา 12.5 – 15 ล้านบาท

“ในรุ่นเอ็กซ์เอฟ ได้การตอบรับจากลูกค้าดีมาก และจนถึงปัจจุบันมียอดส่งมอบไปกว่า 20 คันแล้ว ส่วนรุ่นที่ขายดีสุดเป็นรุ่นเครื่องยนต์ 3.0 ลิตร วี6 (ราคา 6.89 ล้านบาท) เราคาดว่า เอ็กซ์เอฟ และเอ็กซ์เค ใหม่ จะส่งให้ยอดขายรวมจากัวร์ทุกรุ่นปีนี้ถึง 50 คันแน่นอน”นายเอกราช กล่าว

เบนท์ลีย์ คอนติเนนตัล ซูเปอร์สปอร์ต
เบนท์ลีย์ลุยตัวแรง-ขอเอี่ยวโรลสรอยซ์

ปิดท้ายด้วย “เบนท์ลีย์” ที่มีแต่รถราคาระดับ 20-30 ล้านบาทขึ้นไปแต่มียอดขายประมาณ 10 คันต่อปี ดังนั้นความเคลื่อนไหวต่างๆอาจไม่ถี่ หรือเข้าตาเท่ากับ 2 แบรนด์แรก แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าข่าวคราวจะเงียบหายไปเสียทีเดียว เพราะ เบนท์ลีย์ ประเทศไทย ยังสนองตอบโปรเจกท์ใหม่ของบริษัทแม่เสมอ

อย่างล่าสุดกับความแรงที่สุดในค่าย รุ่น “คอนติเนนตัล ซูเปอร์สปอร์ต” เครื่องยนต์ W12 ขนาด 6.0 ลิตร ให้กำลังสูงสุด 630 แรงม้า ที่ 6,000 รอบต่อนาที และแรงบิดสูงสุด 81.5 กก.-ม. ที่ 1,700-6,500 รอบต่อนาที อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ใช้เวลา 3.9 วินาที ส่วนความเร็วปลายทำได้ระดับ 329 กม./ชม. ส่วนราคายังไม่เปิดเผยแต่คาดว่าจะทะลุ 30 ล้านบาทแน่นอน โดยลูกค้าเริ่มสั่งจองได้ตั้งแต่ปลายปีนี้ ก่อนมีกำหนดส่งมอบในปีถัดไป


จากข่าวการยุติการทำตลาดสายพันธุ์ “อาร์นาจ” แล้วแทนที่ด้วย “โปรเจกท์ คิมเบอร์รี” ซึ่งเมืองนอกเตรียมเปิดตัวอย่างเป็นทางการช่วงไตรมาส 3 แต่จะมีรถในไลน์เป็นแบบใดซีรีส์ไหนบ้างต้องคอยติดตาม ส่วนความเคลื่อนไหวในไทยเกี่ยวกับโปรเจกท์นี้กลางปีหน้าค่อยว่ากัน

อย่างไรก็ตามยังมีประเด็นเกี่ยวกับการ ที่เอเอเอสเป็นตัวแทนนำเข้าอัครยานยนต์อย่างโรลสรอยซ์ ในช่วงปีที่ผ่านมา เรื่องนี้ “ASTVผู้จัดการมอเตอริ่ง”ได้ความกระจ่างจาก “นที เหลืองอรุณโรจน์” ผู้จัดการทั่วไป บริษัท เบนท์ลีย์ ประเทศไทย จำกัดว่า บริษัทเอเอเอสฯ ถือเป็นแค่ผู้ประสานงานด้านการขายรถโรลสรอยซ์ ให้กับลูกค้าชาวไทยเท่านั้น แต่ปัจจุบันบริษัทกำลังดำเนินการขอเป็น “เซอร์วิส ดีลเลอร์” ประจำประเทศไทย อย่างเป็นทางการกับ “โรลสรอยซ์ มอเตอร์ คาร์ส” อยู่ คาดว่าเร็วๆนี้จะได้ข้อสรุป

จากัวร์ เอ็กซ์เอฟอาร์
“ตั้งแต่ต้นปี 2551 เราส่งมอบโรลสรอยซ์ ให้ลูกค้าไปแล้ว 2 คัน คือช่วงเดือนกุมภาพันธ์เป็น แฟนธอม รุ่นฐานล้อยาว และล่าสุดเดือนที่แล้ว เพิ่งส่งมอบรุ่น แฟนธอม ดรอปเฮด(เปิดประทุน) ให้ลูกค้าอีกราย ซึ่งเราคงไม่สามารถให้รายละเอียดในเชิงลึกได้”

นที กล่าวเพิ่มเติมว่า โรลสรอยซ์ กับ เบนท์ลีย์ มีกลุ่มลูกค้าใกล้เคียงกัน ดังนั้นจึงไม่เป็นปัญหาในการขาย แล้วถ้าบริษัทได้รับการแต่งตั้งเป็นเซอร์วิส ดีลเลอร์ อย่างเป็นทางการจะสร้างความมั่นใจให้ลูกค้ามากขึ้น ส่วนแผนที่จะเป็นผู้นำเข้าและจัดจำหน่ายอย่างเป็นทางการหรือไม่ คงไม่สามารถตอบได้ แต่ด้วยยอดขายต่อปีที่มีจำนวนน้อย และเงื่อนไขมากมายของ โรลสรอยซ์ ประเทศอังกฤษ อาจจะไม่คุ้มค่าการลงทุน

นั่นเป็นแผนงานของค่าย เอเอเอส ผ่าน 3 แบรนด์คู่บุญ ซึ่งใครเงินเหลือระดับ 10-30 ล้านบาท แล้วอยากให้รางวัลชีวิต หรือเบื่อกับความวุ่นวายของบ้านเมืองช่วงนี้ น่าจะซื้อรุ่นเหมาะๆเอาไว้สักคัน...แก้เซ็ง!

กำลังโหลดความคิดเห็น