ข่าวต่างประเทศ - เจนเนอรัล มอเตอร์ส ยื่นแผนดำเนินงานต่อกระทรวงการคลังสหรัฐ มุ่งเน้นเสริมความแข็งแกร่ง และขีดความสามารถในระยะยาว พร้อมวางแผนรองรับกับความถดถอยของตลาดรถทั่วโลก แผนดังกล่าวยังเผยถึงแนวทางสำคัญในการปรับโครงสร้างองค์กร ถือเป็นรายงานสถานะบริษัทฯ ตามข้อตกลงเงินกู้ที่ร่วมลงนามโดยจีเอ็ม และกระทรวงการคลังสหรัฐเมื่อวันที่ 31 ธันวาคม 2551 ที่ผ่านมา
แผนดำเนินงานนี้ ชี้ถึงเป้าหมายในการปรับโครงสร้างตามข้อตกลงเงินกู้ ทั้งการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันทางการตลาด การพัฒนาเทคโนโลยีประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิง และลดการปล่อยมลพิษ การปรับต้นทุนด้านแรงงานให้มีความเหมาะสม และการปรับโครงสร้างหนี้เสี่ยงในสหรัฐ แผนงานของจีเอ็ม ยังแสดงรายละเอียดถึงการปรับลดแบรนด์ยนตรกรรม และโมเดลภายใต้เครือจีเอ็มในอนาคต รวมถึงการผนึกกำลังของพนักงานและเครือข่ายผู้แทนจำหน่าย การเร่งศักยภาพการดำเนินงาน และส่งเสริมความสามารถด้านการผลิต พร้อมกับการยึดมั่นในการสร้างสรรค์ยานยนต์ที่มีคุณภาพ ประหยัดพลังงาน และเทคโนโลยีพลังขับเคลื่อนแห่งอนาคต
นายสตีฟ คาร์ไลส์ ประธานกรรมการ บริษัท เจนเนอรัล มอเตอร์ส เซาท์อีสต์ เอเชีย โอเปอเรชั่นส์ และบริษัท เชฟโรเลต เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าว “แผนของเราจะแสดงให้เห็นว่าจีเอ็มสามารถดำเนินธุรกิจได้อย่างแข็งแกร่ง ด้วยการตั้งเป้าลดจำนวนการผลิตลง และยังแสดงให้เห็นถึงความก้าวหน้าและความเร่งด่วนของแผนงานนับตั้งแต่เดือนธันวาคม 2551 ด้วยการตั้งเป้าเพื่อกลับมาสู่การได้รับผลกำไรภายใน 24 เดือน อย่างไรก็ตาม แผนงานเสริมสร้างความแข็งแกร่งของจีเอ็ม จำเป็นต้องได้รับแรงสนับสนุนและการอุทิศตนทำงานจาก ผู้เกี่ยวข้องกับจีเอ็มทุกฝ่ายทั่วโลก ทั้ง ฝ่ายบริหาร พนักงาน สหภาพ ซัพพลายเออร์ ผู้แทนจำหน่าย นักลงทุน และผู้ถือครองพันธบัตร”
อย่างที่เคยระบุไว้ในช่วงปลายปีที่แล้ว จีเอ็ม กำลังก้าวไปข้างหน้าอย่างมุ่งมั่น พร้อมแผนการพัฒนาผลิตภัณท์ยานยนต์ที่ใช้เชื้อเพลิงอย่างมีประสิทธิภาพ และการพัฒนาเทคโนโลยีพลังขับเคลื่อนอันล้ำหน้า บริษัทฯลงทุนด้วยเม็ดเงินมหาศาลในการพัฒนาพลังงานทางเลือก และเทคโนโลยีพลังขับเคลื่อนอันล้ำหน้าภายในกรอบระยะเวลาระหว่างปี พ.ศ.2552-2555 นอกจากนี้ ยังสนับสนุนการพัฒนารถไฮบริด และรถพลังงานไฟฟ้าที่ขับเคลื่อนระยะทางไกล อย่าง เชฟโรเลต โวลต์ จีเอ็มยังมีความมุ่งมั่นที่จะพัฒนาตัวเลขรถไฮบริดให้เพิ่มเป็น 14 รุ่นภายในปีพ.ศ.2555 และการสร้างสรรค์ยานยนต์รองรับพลังงานทางเลือกให้เพิ่มมากกว่า 60%
การลงทุนในหลากหลายโครงการที่ระบุในแผนปรับโครงสร้างครั้งนี้ จะผลักดันให้จีเอ็ม ก้าวขึ้นสู่ความเป็นผู้นำในระดับโลกในระยะยาว โดยการพัฒนายานยนต์ที่มีเทคโนโลยีล้ำอนาคต และใช้เชื้อเพลิงอย่างมีประสิทธิภาพ ด้วยเหตุนี้ บริษัทฯ จะเสริมศักยภาพการผลิตให้ทันสมัยยิ่งขึ้น และสนับสนุนจุดยืนความเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมทั้งในสหรัฐ และทั่วโลก
การดำเนินธุรกิจของจีเอ็มในต่างประเทศ ระหว่างปีพ.ศ. 2552 จนถึงพ.ศ. 2557 จีเอ็มจะแสวงหาเงินทุนสนับสนุนจากภาคส่วนที่เกี่ยวข้องในตลาดที่ดำเนินธุรกิจอยู่ นอกเหนือจากนี้ ในสถานการณ์เศรษฐกิจปัจจุบัน จีเอ็มกำลังทบทวนพิจารณาแผนการขยายธุรกิจในเอเชียแปซิฟิก โดยบางโครงการ อย่างการขยายการผลิต และโครงการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ในภูมิภาคนี้จำเป็นต้องเลื่อนการดำเนินการออกไปก่อน หากไม่มีการสนับสนุนจากรัฐบาล หรือฝ่ายที่เกี่ยวข้อง จีเอ็ม กำลังหารือกับทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องเพื่อแสวงหาการสนับสนุนการต่อยอดการลงทุนนี้ต่อไป
“ในปีพ.ศ.2550 มีการผลิตรถมากถึง 1,188,044 คัน เกือบครึ่งหนึ่งถูกส่งออกไปยังตลาดต่างประเทศ โดยมีเป้าหมายการเติบโตของตัวเลขการผลิตเพิ่มขึ้นเป็น 2.5 ล้านคันภายในปีพ.ศ. 2559 โดยแบ่งเป็นการส่งออกราว 1.5 ล้านคัน มูลค่าการส่งออกโดยเฉลี่ยอยู่ที่ 400,000 ล้านบาทต่อปี แต่ในปี 2551 แม้ว่าจะเป็นช่วงวิกฤตเศรษฐกิจก็ตาม มูลค่าการส่งออกคิดเป็นสุทธิอยู่ที่ 482,960 ล้านบาท ในช่วงเดือนมกราคมถึงพฤศจิกายน ตัวเลขเหล่านี้บ่งบอกให้เราเห็นถึงการเจริญเติบโตของอุตสาหกรรมยานยนต์ของประเทศไทยที่มีเพิ่มขึ้น แน่นอนว่าจีเอ็มเองเป็นหนึ่งในองค์กรหลักที่ผูกพันต่อการอุทิศเพื่อการเติบโตนี้ และเป็นเหตุผลหลักว่าทำไมจีเอ็มถึงต้องมองหาการสนับสนุนด้านเงินทุนระดับท้องถิ่นเพื่อสานต่อโครงการต่างๆในประเทศไทย” นายสตีฟ กล่าว
แผนดำเนินงานนี้ ชี้ถึงเป้าหมายในการปรับโครงสร้างตามข้อตกลงเงินกู้ ทั้งการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันทางการตลาด การพัฒนาเทคโนโลยีประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิง และลดการปล่อยมลพิษ การปรับต้นทุนด้านแรงงานให้มีความเหมาะสม และการปรับโครงสร้างหนี้เสี่ยงในสหรัฐ แผนงานของจีเอ็ม ยังแสดงรายละเอียดถึงการปรับลดแบรนด์ยนตรกรรม และโมเดลภายใต้เครือจีเอ็มในอนาคต รวมถึงการผนึกกำลังของพนักงานและเครือข่ายผู้แทนจำหน่าย การเร่งศักยภาพการดำเนินงาน และส่งเสริมความสามารถด้านการผลิต พร้อมกับการยึดมั่นในการสร้างสรรค์ยานยนต์ที่มีคุณภาพ ประหยัดพลังงาน และเทคโนโลยีพลังขับเคลื่อนแห่งอนาคต
นายสตีฟ คาร์ไลส์ ประธานกรรมการ บริษัท เจนเนอรัล มอเตอร์ส เซาท์อีสต์ เอเชีย โอเปอเรชั่นส์ และบริษัท เชฟโรเลต เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าว “แผนของเราจะแสดงให้เห็นว่าจีเอ็มสามารถดำเนินธุรกิจได้อย่างแข็งแกร่ง ด้วยการตั้งเป้าลดจำนวนการผลิตลง และยังแสดงให้เห็นถึงความก้าวหน้าและความเร่งด่วนของแผนงานนับตั้งแต่เดือนธันวาคม 2551 ด้วยการตั้งเป้าเพื่อกลับมาสู่การได้รับผลกำไรภายใน 24 เดือน อย่างไรก็ตาม แผนงานเสริมสร้างความแข็งแกร่งของจีเอ็ม จำเป็นต้องได้รับแรงสนับสนุนและการอุทิศตนทำงานจาก ผู้เกี่ยวข้องกับจีเอ็มทุกฝ่ายทั่วโลก ทั้ง ฝ่ายบริหาร พนักงาน สหภาพ ซัพพลายเออร์ ผู้แทนจำหน่าย นักลงทุน และผู้ถือครองพันธบัตร”
อย่างที่เคยระบุไว้ในช่วงปลายปีที่แล้ว จีเอ็ม กำลังก้าวไปข้างหน้าอย่างมุ่งมั่น พร้อมแผนการพัฒนาผลิตภัณท์ยานยนต์ที่ใช้เชื้อเพลิงอย่างมีประสิทธิภาพ และการพัฒนาเทคโนโลยีพลังขับเคลื่อนอันล้ำหน้า บริษัทฯลงทุนด้วยเม็ดเงินมหาศาลในการพัฒนาพลังงานทางเลือก และเทคโนโลยีพลังขับเคลื่อนอันล้ำหน้าภายในกรอบระยะเวลาระหว่างปี พ.ศ.2552-2555 นอกจากนี้ ยังสนับสนุนการพัฒนารถไฮบริด และรถพลังงานไฟฟ้าที่ขับเคลื่อนระยะทางไกล อย่าง เชฟโรเลต โวลต์ จีเอ็มยังมีความมุ่งมั่นที่จะพัฒนาตัวเลขรถไฮบริดให้เพิ่มเป็น 14 รุ่นภายในปีพ.ศ.2555 และการสร้างสรรค์ยานยนต์รองรับพลังงานทางเลือกให้เพิ่มมากกว่า 60%
การลงทุนในหลากหลายโครงการที่ระบุในแผนปรับโครงสร้างครั้งนี้ จะผลักดันให้จีเอ็ม ก้าวขึ้นสู่ความเป็นผู้นำในระดับโลกในระยะยาว โดยการพัฒนายานยนต์ที่มีเทคโนโลยีล้ำอนาคต และใช้เชื้อเพลิงอย่างมีประสิทธิภาพ ด้วยเหตุนี้ บริษัทฯ จะเสริมศักยภาพการผลิตให้ทันสมัยยิ่งขึ้น และสนับสนุนจุดยืนความเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมทั้งในสหรัฐ และทั่วโลก
การดำเนินธุรกิจของจีเอ็มในต่างประเทศ ระหว่างปีพ.ศ. 2552 จนถึงพ.ศ. 2557 จีเอ็มจะแสวงหาเงินทุนสนับสนุนจากภาคส่วนที่เกี่ยวข้องในตลาดที่ดำเนินธุรกิจอยู่ นอกเหนือจากนี้ ในสถานการณ์เศรษฐกิจปัจจุบัน จีเอ็มกำลังทบทวนพิจารณาแผนการขยายธุรกิจในเอเชียแปซิฟิก โดยบางโครงการ อย่างการขยายการผลิต และโครงการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ในภูมิภาคนี้จำเป็นต้องเลื่อนการดำเนินการออกไปก่อน หากไม่มีการสนับสนุนจากรัฐบาล หรือฝ่ายที่เกี่ยวข้อง จีเอ็ม กำลังหารือกับทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องเพื่อแสวงหาการสนับสนุนการต่อยอดการลงทุนนี้ต่อไป
“ในปีพ.ศ.2550 มีการผลิตรถมากถึง 1,188,044 คัน เกือบครึ่งหนึ่งถูกส่งออกไปยังตลาดต่างประเทศ โดยมีเป้าหมายการเติบโตของตัวเลขการผลิตเพิ่มขึ้นเป็น 2.5 ล้านคันภายในปีพ.ศ. 2559 โดยแบ่งเป็นการส่งออกราว 1.5 ล้านคัน มูลค่าการส่งออกโดยเฉลี่ยอยู่ที่ 400,000 ล้านบาทต่อปี แต่ในปี 2551 แม้ว่าจะเป็นช่วงวิกฤตเศรษฐกิจก็ตาม มูลค่าการส่งออกคิดเป็นสุทธิอยู่ที่ 482,960 ล้านบาท ในช่วงเดือนมกราคมถึงพฤศจิกายน ตัวเลขเหล่านี้บ่งบอกให้เราเห็นถึงการเจริญเติบโตของอุตสาหกรรมยานยนต์ของประเทศไทยที่มีเพิ่มขึ้น แน่นอนว่าจีเอ็มเองเป็นหนึ่งในองค์กรหลักที่ผูกพันต่อการอุทิศเพื่อการเติบโตนี้ และเป็นเหตุผลหลักว่าทำไมจีเอ็มถึงต้องมองหาการสนับสนุนด้านเงินทุนระดับท้องถิ่นเพื่อสานต่อโครงการต่างๆในประเทศไทย” นายสตีฟ กล่าว