ติดตามกันต่อกับอีก 5 คันที่เหลือของ 10 รถเด่นแห่งปี 2008 ที่เรานำมารวบรวมไว้ให้แฟนๆ ของเอเอสทีวี ผู้จัดการมอเตอริ่งได้อ่านกันส่งท้ายปีเก่า ต้อนรับปีใหม่
6.Chevrolet Volt : เปิดมิติใหม่ของการขับเคลื่อน
ทันทีที่โวลต์เริ่มวางขายในตลาดช่วงปลายปี 2010 จะถือว่าเป็นรถยนต์รูปแบบใหม่ที่มีการนำเสนอทางเลือกของการขับเคลื่อนแบบใหม่ที่เรียกว่า E-REV : Extended-Range Electric Vehicle หรือรถยนต์พลังงานไฟฟ้าที่สามารถใช้งานได้เป็นระยะทางไกลขึ้นที่มีส่วนประกอบคล้ายรถยนต์ไฮบริด แต่สลับหน้าที่ให้มอเตอร์ไฟฟ้าเป็นตัวขับเคลื่อนรถ และเครื่องยนต์สันดาปภายในทำหน้าที่ปั่นกระแสไฟฟ้เข้ามาชดเชยที่ถูกใช้ไปในแบตเตอรี่
มอเตอร์ไฟฟ้าที่ใช้ในการขับเคลื่อนมีกำลังสูงสุด 150 แรงม้า และแรงบิดสูงสุด 37.7 กก.-ม. โดยที่เครื่องยนต์สันดาปภายในซึ่งใช้เชื้อเพลิงแบบ E85 จะทำหน้าที่เป็นตัวปั่นกระแสไฟฟ้าเข้ามาเก็บในแบตเตอรี่แบบลิเธียม-ไอออนขนาด 220 เซลล์ และตัวรถสามารถทำความเร็วสูงสุดได้ 160 กิโลเมตร/ชั่วโมง
นอกจากนั้น ตัวรถยังสามารถขับด้วยไฟฟ้าแบบเดี่ยวๆ ได้ เพราะตัวระบบถูกออกแบบให้ระยะทาง 65 กิโลเมตรแรกพึ่งพลังจากกระแสไฟฟ้าที่อยู่ในแบตเตอรี่ (ซึ่งถูกชาร์จจนเต็มเมื่อเจ้าของขับถึงบ้านหรือออฟฟิศแล้วเสียบปลั๊กชาร์จ) เพียงอย่างเดียว โดยที่เครื่องยนต์ไม่ถูกสตาร์ทขึ้นมา แต่ถ้าเกินจากนั้น เครื่องยนต์ก็จะทำงาน เพื่อชาร์จกระแสไฟฟ้าเข้ามาเก็บ
ตัวรถมาในแบบ 4 ประตูพร้อมรูปลักษณ์ที่แตกต่างจากตัวต้นแบบซึ่งเปิดตัวในปี 2006 เพียงเล็กน้อย โดยมีการปรับปรุงรายละเอียดบางส่วนให้เหมาะสมกับการใช้งานจริง โดยจีเอ็มนำโวลต์เปิดตัวครั้งแรกในงานฉลองครบรอบ 100 ปีของการก่อตั้งบริษัท และจะเริ่มผลิตขายในสหรัฐอเมริกาปลายปี 2010 โดยที่ยังไม่มีการเปิดเผยราคาออกมาในตอนนี้
7.Tata Nano : ยานยนต์ขวัญใจคนงบน้อย
ฮือฮาทั้งต้นปีและปลายปีสำหรับรถยนต์รุ่นนี้ ซึ่งทันทีที่ราทาน ทาทาประธานของทาทา มอเตอร์เผยโฉมรถยนต์รุ่นนาโนออกมา ก็กลายเป็นจุดสนใจของคนทั่วโลก เพราะนี่คือ เก๋งป้ายแดงที่มีราคาถูกที่สุดในโลกด้วยราคาเริ่มต้นที่เพียง 2,500 เหรียญสหรัฐฯ หรือ 80,000 บาทตามอัตราแลกเปลี่ยนในขณะนั้น
โปรเจ็กต์นี้ได้รับการพัฒนามานานหลายปี และเป็นที่รู้จักกันดีในชื่อคือ People’s Car หรือโครงการรถยนต์เพื่อปวงประชา ซึ่งเป็นแนวคิดที่ตาต้าต้องการให้คนอินเดียส่วนใหญ่ละทิ้งพาหนะคู่กายอย่างมอเตอร์ไซค์ที่สามารถบรรทุกทุกคนในครอบครัวแล้วหันมาใช้รถยนต์ 4 ล้อแทนด้วยการผลิตรถยนต์ราคาประหยัดที่มีค่าตัวเริ่มต้นอยู่ในระดับ 100,000 รูปี หรือ 2,500 เหรียญสหรัฐฯ
บนตัวถังแฮทช์แบ็ก 5 ประตูที่มีความยาวเกิน 3 เมตรมานิดๆ และกว้างไม่เกิน 1.5 เมตรของนาโน เครื่องยนต์ถูกวางอยู่ทางด้านท้าย และเป็นแบบ 2 สูบที่มีความจุ 623 ซีซี 33 แรงม้า ที่ 5,500 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 4.89 กก.-ม. ที่ 2,500 รอบต่อนาที มีอัตราเร่งจาก 0-70 กิโลเมตรต่อชั่วโมงใน 14 วินาที แต่สามารถแล่นทำความเร็วสูงสุดได้ถึง 104 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ส่วนความประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิงอยู่ที่ 20 กิโลเมตรต่อลิตรสำหรับการขับแบบผสม โดยที่ระบบช่วงล่างหน้าเป็นแบบแม็กเฟอร์สันสตรัท และด้านหลังแบบอิสระ คอยล์สปริง
ประธานของทาทา มอเตอร์กล่าวในวันเปิดตัวนาโนว่า ‘นี่ไม่ใช่รถยนต์ต้นแบบหรือรถยนต์ทดลองการผลิตใดๆ ทั้งสิ้น แต่นี่คือรถยนต์ที่พร้อมขายและจะออกจากไลน์ผลิตของโรงงาน Singur ไปยังโชว์รูมต่างๆ ในอินเดียช่วงปลายปีนี้อย่างแน่นอน’
แต่ดูเหมือนว่าจะไม่เป็นตามที่คาดเอาไว้ เพราะในช่วงกลางปีเดียวกัน โรงงานในเมือง Singur ก็เกิดปัญหา เพราะว่าการเวนคืนที่ดินของทาทาเพื่อนำมาใช้ในการทำโรงงานก่อสร้างไม่โปร่งใส และทำให้ชาวนาผู้เสียผลประโยชน์ทั้งหลายออกมาประท้วงกันใหญ่โต จนทำให้ต้องปิดโรงงานชั่วคราว และสุดท้ายก็ต้องย้ายไปที่อยู่ที่เมืองชานันต์ รัฐคุตราชแทน
โรงงานใหม่จะถูกสร้างขึ้นบนพื้นที่ประมาณ 1,100 เอเคอร์ ประกอบด้วย โรงงานหลัก พร้อมทั้งมีบริเวณ สำหรับโรงงานผลิตชิ้นส่วนที่ดำเนินการโดยพันธมิตร และพื้นที่สำหรับผู้ให้บริการที่เกี่ยวข้อง โรงงานแห่งนี้จะเริ่มต้นผลิตรถยนต์ได้ 250,000 คันต่อปี และสามารถขยายกำลังการผลิตได้ถึง 500,000 คันต่อปี อีกทั้งจะช่วยส่งเสริมความเข้มแข็งทางเศรษฐกิจ ด้วยการสร้างงาน ทั้งทางตรงและทางอ้อมได้กว่า 10,000 ตำแหน่ง
8.Porsche Panamera : 4 ประตูเพื่อคนรัก Porsche
ประกาศว่าจะขายกันล่วงหน้าตั้งแต่ปี 2006 ในที่สุดบรรดาแฟนๆ ของ Porsche ก็ได้เห็นโฉมหน้าของรถยนต์ 4 ประตูในสายการผลิตรุ่นแรกในประวัติศาสตร์ของบริษัทแล้ว เมื่อมีการเผยภาพและสเปกคร่าวๆ ของรถยนต์รุ่นนี้ออกมาทางอินเตอร์เนต โดย Porsche จะใช้ชื่อในการทำตลาดว่าพานาเมอรา และเริ่มขายในตลาดยุโรปตั้งแต่เดือนมีนาคม 2009
พานาเมอรา ถือเป็นรถยนต์ 4 ประตูรุ่นแรกในไลน์ผลิตของพอร์ช แต่ไม่ใช่ครั้งแรกที่พอร์ชคิดจะผลิตรถยนต์ 4 ประตู เพราะถ้ายังจำกันได้ย้อนกลับไปในปี 1988 พอร์ชภายใต้การนำทัพของอุลริช เบซ ซึ่งปัจจุบันเป็นซีอีโอของแอสตันมาร์ติน เคยวาดฝันที่จะผลิตเก๋ง 4 ประตูออกสู่ตลาดเพื่อเสริมทัพกับรุ่น 928 ในการแข่งกับเมอร์เซเดส-เบนซ์ และบีเอ็มดับเบิลยู ซึ่งแนวคิดนี้ได้กลายมาเป็นรหัส 989 ในอีก 3 ปีให้หลัง แต่นั่นก็เป็นแค่ต้นแบบเท่านั้น และรถยนต์รุ่นนี้ก็ไม่เคยนำออกมาจัดแสดงสู่สาธารณะชนเลยแต่สุดท้ายอีก 20 ปีให้หลัง โปรเจ็กต์ได้กลายเป็นจริง
ขนาดตัวถังมีความยาว 4,970 มิลลิเมตร กว้าง 1,931 มิลลิเมตร สูง 1,418 มิลลิเมตร เครื่องยนต์วางด้านหน้าและขับเคลื่อนล้อหลัง ส่วนทางเลือกของเครื่องยนต์เท่าที่มีการเปิดเผยออกมาในตอนนี้ เป็นแบบบล็อก V ล้วนๆ ทั้ง 6 และ 8 สูบ โดยเน้นไปที่เบนซินแบบไดเร็กต์อินเจ็กชันหรือ DFI เป็นหลัก มีทั้งหายใจเอง และอัดอากาศด้วยเทอร์โบ โดยมีกำลังอยู่ในระดับ 300-500 แรงม้า
ส่วนความจุแม้ยังไม่ระบุ แต่เชื่อว่าจะมีทั้ง 3,600 ซีซี, 4,800 ซีซี และ 4,800 ซีซี เทอร์โบเหมือนกับคาเยนน์ ส่วนระบบส่งกำลังมีทั้งแบบธรรมดา 6 จังหวะ และอัตโนมัติแบบดับเบิลคลัตช์ 7 จังหวะที่เรียกว่า PDK- Doppelkupplungsgetriebe ส่วนการผลิต Porsche ตั้งเป้าเอาไว้ที่ 20,000 คันต่อปี
สำหรับการเปิดตัวอย่างเป็นทางการ ในตอนแรกมีข่าวว่าจะเผยโฉมครั้งแรกในเจนีวา มอเตอร์โชว์ เดือนมีนาคม 2009 แต่สุดท้ายถูกเลื่อนไปเป็นงานเซี่ยงไฮ้ มอเตอร์โชว์ ในอีก 1 เดือนถัดไป
9.Pininfarina Rolls-Royce Hyperion : หนึ่งเดียวเพื่อนักสะสม
อีกครั้งที่พินินฟารินาเอาใจนักสะสมรถยนต์คนพิเศษ เมื่อจัดการดัดแปลงรถยนต์ตามใบสั่งเหมือนกับที่เคนทำมาแล้ว โดยคราวนี้เป็นการร้องขอจากโรแลนด์ ฮอลล์ที่ต้องการแปลงโฉมโรลล์ส-รอยซ์ แฟนธอม ดรอปเฮด คูเป้ของตัวเองให้มีความสวยล้ำสมัยและไม่เหมือนใคร
นอกจากนั้น ผลงานครั้งนี้มีความพิเศษอีกประการคือ เป็นการทำงานครั้งสุดท้ายของพินินฟารินาภายใต้การดูแลดของแอนเดรีย พินิฟารินา เพราะก่อนหน้าการเปิดตัวในงานนี้ไม่ถึง 1 สัปดาห์ในงาน Pebble Beach Concurs d’Elegance กลางเดือนสิงหาคม 2008 บริษัทต้องสูญเสียเขาไปเพราะการเสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางรถยนต์
การร้องขอให้พัฒนารถยนต์คันนี้เกิดขึ้นในกลางปี 2007 และเริ่มขึ้นทันทีในปลายเดียวกัน โดยถือเป็นอีกครั้งที่พินินฟารินามีส่วนในการสร้างสรรค์รถยนต์จากแบรนด์โรลล์ส-รอยซ์หลังจากที่เคยฝากฝีมือไว้กับการออกแบบรุ่นซิลเวอร์ ดอว์นในปี 1951 และในปี 1975 กับรุ่น Camarque Coupe โดยรูปลักษณ์ภายนอกได้รับการสร้างสรรค์ใหม่เพื่อให้เกิดความแปลกตาจากรุ่นดรอปเฮด คูเป้ และเน้นความสวยสะอาดตาด้วยเส้นสายและไฟท้ายที่มีความเพีรยวบาง โดยไฟหน้าซึ่งได้รับการออกแบบใหม่เปลี่ยนมาเป็นแบบ Bi-Xenon พร้อมกับใช้หลอดแบบ LED เพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการส่องสว่าง
ไฮเพอเรียนไม่ได้เป็นการดัดแปลงรูปลักษณ์ภายนอกเท่านั้น แต่ยังเป็นการดัดแปลงส่วนต่างๆ ที่อยู่ภายในห้องโดยสารด้วย เช่น การเคลื่อนเบาะนั่งคู่หน้าถอยไปด้านหลังอีก 400 มิลลิเมตร พร้อมกับถอดเบาะนั่งหลังออกเพื่อให้ตัวรถเกิดความกว้างขวางและโอ่โถง พร้อมกับทำแผงไม้แบบเดียวกับที่ใช้ในเรือยอชท์ปิดทับตรงส่วนของเบาะนั่งหลัง โดยแผงไม้นี้สามารถเปิดออกได้เพื่อให้หลังคาผ้าใบที่ได้รับการออกแบบใหม่กางออกมาได้
นอกจากนั้นยังถือเป็นการกลับมาร่วมงานอีกครั้งระหว่างพินินฟารินากับบริษัทผลิตนาฬิกาชื่อดังแห่งสวิตเซอร์แลนด์อย่าง Girard-Perregaux โดยพินินฟารินาได้นำนาฬิการุ่น Tiurbillion ปี 1945 ของ Girard-Perregaux มาติดตั้งอยู่บนแผงคอนโซลกลางของตัวรถเพื่อความหรูหราและเอกลักษณ์ที่ไม่เหมือนใคร
10.Nissan 370Z : เขย่าอารมณ์สปอร์ตครั้งใหม่
ต่อจาก GT-R นิสสันยังเขย่าตลาดรถสปอร์ตอย่างต่อเนื่อง และคราวนี้มาถึงคิวของ Z-Car โดยจัดการเผยโฉมใหม่ในชื่อ 370Z หรือแฟร์เลดี้ แซดสำหรับตลาดญี่ปุ่นออกมาแล้ว เพื่อแทนที่รุ่นเดิมซึ่งใช้ชื่อว่า 350Z ในรหัสตัวถัง Z33
การเปิดตัวมีขึ้นครั้งแรกในแอลเอ มอเตอร์โชว์ ประเทศสหรัฐอเมริกา เดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา แต่สุดท้ายคนญี่ปุ่นได้ขับก่อนใครเพราะนิสสันส่งขายในบ้านตัวเองแล้ว ซึ่งแฟร์เลดี้ แซด หรือ 370Z มากับรหัสตัวถัง Z34 บนตัวถังสปอร์ตคูเป้ที่มีความยาว 4,250 มิลลิเมตร และระยะฐานล้อ 2,550 มิลลิเมตร ซึ่งได้รับการพัฒนาบนพื้นตัวถังในรปัส FM ที่ได้รับการปรับปรุงใหม่
เร้าใจกับเครื่องยนต์รหัส VQ37VHR ที่ใช้อยู่ใน G37 ของอินฟินิตี้ และนิสสัน สกายไลน์ มีความจุกระบอกสูบ 3,700 ซีซี พร้อมระบบวาล์วแปรผันรุ่นไหม่ที่เรียกว่า VVEL หรือ Variable Valve Event and Lift ซึ่งในสเปกญี่ปุ่นมากับกำลังสูงสุด 336 แรงม้า ที่ 7,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 37.2 กก.-ม. ที่ 5,200 รอบ/นาที ส่งกำลังด้วยเกียร์ธรรมดา 6 จังหวะ หรืออัตโนมัติ 7 จังหวะสู่การขับเคลื่อนแบบล้อหลัง
นิสสันตั้งเป้าขายในบ้านตัวเองเอาไว้ที่ 500 คันต่อเดือน โดยมีราคาอยู่ที่ 3,622,500-4,462,500 เยน หรือ 1.2-1.5 ล้านบาท
6.Chevrolet Volt : เปิดมิติใหม่ของการขับเคลื่อน
ทันทีที่โวลต์เริ่มวางขายในตลาดช่วงปลายปี 2010 จะถือว่าเป็นรถยนต์รูปแบบใหม่ที่มีการนำเสนอทางเลือกของการขับเคลื่อนแบบใหม่ที่เรียกว่า E-REV : Extended-Range Electric Vehicle หรือรถยนต์พลังงานไฟฟ้าที่สามารถใช้งานได้เป็นระยะทางไกลขึ้นที่มีส่วนประกอบคล้ายรถยนต์ไฮบริด แต่สลับหน้าที่ให้มอเตอร์ไฟฟ้าเป็นตัวขับเคลื่อนรถ และเครื่องยนต์สันดาปภายในทำหน้าที่ปั่นกระแสไฟฟ้เข้ามาชดเชยที่ถูกใช้ไปในแบตเตอรี่
มอเตอร์ไฟฟ้าที่ใช้ในการขับเคลื่อนมีกำลังสูงสุด 150 แรงม้า และแรงบิดสูงสุด 37.7 กก.-ม. โดยที่เครื่องยนต์สันดาปภายในซึ่งใช้เชื้อเพลิงแบบ E85 จะทำหน้าที่เป็นตัวปั่นกระแสไฟฟ้าเข้ามาเก็บในแบตเตอรี่แบบลิเธียม-ไอออนขนาด 220 เซลล์ และตัวรถสามารถทำความเร็วสูงสุดได้ 160 กิโลเมตร/ชั่วโมง
นอกจากนั้น ตัวรถยังสามารถขับด้วยไฟฟ้าแบบเดี่ยวๆ ได้ เพราะตัวระบบถูกออกแบบให้ระยะทาง 65 กิโลเมตรแรกพึ่งพลังจากกระแสไฟฟ้าที่อยู่ในแบตเตอรี่ (ซึ่งถูกชาร์จจนเต็มเมื่อเจ้าของขับถึงบ้านหรือออฟฟิศแล้วเสียบปลั๊กชาร์จ) เพียงอย่างเดียว โดยที่เครื่องยนต์ไม่ถูกสตาร์ทขึ้นมา แต่ถ้าเกินจากนั้น เครื่องยนต์ก็จะทำงาน เพื่อชาร์จกระแสไฟฟ้าเข้ามาเก็บ
ตัวรถมาในแบบ 4 ประตูพร้อมรูปลักษณ์ที่แตกต่างจากตัวต้นแบบซึ่งเปิดตัวในปี 2006 เพียงเล็กน้อย โดยมีการปรับปรุงรายละเอียดบางส่วนให้เหมาะสมกับการใช้งานจริง โดยจีเอ็มนำโวลต์เปิดตัวครั้งแรกในงานฉลองครบรอบ 100 ปีของการก่อตั้งบริษัท และจะเริ่มผลิตขายในสหรัฐอเมริกาปลายปี 2010 โดยที่ยังไม่มีการเปิดเผยราคาออกมาในตอนนี้
7.Tata Nano : ยานยนต์ขวัญใจคนงบน้อย
ฮือฮาทั้งต้นปีและปลายปีสำหรับรถยนต์รุ่นนี้ ซึ่งทันทีที่ราทาน ทาทาประธานของทาทา มอเตอร์เผยโฉมรถยนต์รุ่นนาโนออกมา ก็กลายเป็นจุดสนใจของคนทั่วโลก เพราะนี่คือ เก๋งป้ายแดงที่มีราคาถูกที่สุดในโลกด้วยราคาเริ่มต้นที่เพียง 2,500 เหรียญสหรัฐฯ หรือ 80,000 บาทตามอัตราแลกเปลี่ยนในขณะนั้น
โปรเจ็กต์นี้ได้รับการพัฒนามานานหลายปี และเป็นที่รู้จักกันดีในชื่อคือ People’s Car หรือโครงการรถยนต์เพื่อปวงประชา ซึ่งเป็นแนวคิดที่ตาต้าต้องการให้คนอินเดียส่วนใหญ่ละทิ้งพาหนะคู่กายอย่างมอเตอร์ไซค์ที่สามารถบรรทุกทุกคนในครอบครัวแล้วหันมาใช้รถยนต์ 4 ล้อแทนด้วยการผลิตรถยนต์ราคาประหยัดที่มีค่าตัวเริ่มต้นอยู่ในระดับ 100,000 รูปี หรือ 2,500 เหรียญสหรัฐฯ
บนตัวถังแฮทช์แบ็ก 5 ประตูที่มีความยาวเกิน 3 เมตรมานิดๆ และกว้างไม่เกิน 1.5 เมตรของนาโน เครื่องยนต์ถูกวางอยู่ทางด้านท้าย และเป็นแบบ 2 สูบที่มีความจุ 623 ซีซี 33 แรงม้า ที่ 5,500 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 4.89 กก.-ม. ที่ 2,500 รอบต่อนาที มีอัตราเร่งจาก 0-70 กิโลเมตรต่อชั่วโมงใน 14 วินาที แต่สามารถแล่นทำความเร็วสูงสุดได้ถึง 104 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ส่วนความประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิงอยู่ที่ 20 กิโลเมตรต่อลิตรสำหรับการขับแบบผสม โดยที่ระบบช่วงล่างหน้าเป็นแบบแม็กเฟอร์สันสตรัท และด้านหลังแบบอิสระ คอยล์สปริง
ประธานของทาทา มอเตอร์กล่าวในวันเปิดตัวนาโนว่า ‘นี่ไม่ใช่รถยนต์ต้นแบบหรือรถยนต์ทดลองการผลิตใดๆ ทั้งสิ้น แต่นี่คือรถยนต์ที่พร้อมขายและจะออกจากไลน์ผลิตของโรงงาน Singur ไปยังโชว์รูมต่างๆ ในอินเดียช่วงปลายปีนี้อย่างแน่นอน’
แต่ดูเหมือนว่าจะไม่เป็นตามที่คาดเอาไว้ เพราะในช่วงกลางปีเดียวกัน โรงงานในเมือง Singur ก็เกิดปัญหา เพราะว่าการเวนคืนที่ดินของทาทาเพื่อนำมาใช้ในการทำโรงงานก่อสร้างไม่โปร่งใส และทำให้ชาวนาผู้เสียผลประโยชน์ทั้งหลายออกมาประท้วงกันใหญ่โต จนทำให้ต้องปิดโรงงานชั่วคราว และสุดท้ายก็ต้องย้ายไปที่อยู่ที่เมืองชานันต์ รัฐคุตราชแทน
โรงงานใหม่จะถูกสร้างขึ้นบนพื้นที่ประมาณ 1,100 เอเคอร์ ประกอบด้วย โรงงานหลัก พร้อมทั้งมีบริเวณ สำหรับโรงงานผลิตชิ้นส่วนที่ดำเนินการโดยพันธมิตร และพื้นที่สำหรับผู้ให้บริการที่เกี่ยวข้อง โรงงานแห่งนี้จะเริ่มต้นผลิตรถยนต์ได้ 250,000 คันต่อปี และสามารถขยายกำลังการผลิตได้ถึง 500,000 คันต่อปี อีกทั้งจะช่วยส่งเสริมความเข้มแข็งทางเศรษฐกิจ ด้วยการสร้างงาน ทั้งทางตรงและทางอ้อมได้กว่า 10,000 ตำแหน่ง
8.Porsche Panamera : 4 ประตูเพื่อคนรัก Porsche
ประกาศว่าจะขายกันล่วงหน้าตั้งแต่ปี 2006 ในที่สุดบรรดาแฟนๆ ของ Porsche ก็ได้เห็นโฉมหน้าของรถยนต์ 4 ประตูในสายการผลิตรุ่นแรกในประวัติศาสตร์ของบริษัทแล้ว เมื่อมีการเผยภาพและสเปกคร่าวๆ ของรถยนต์รุ่นนี้ออกมาทางอินเตอร์เนต โดย Porsche จะใช้ชื่อในการทำตลาดว่าพานาเมอรา และเริ่มขายในตลาดยุโรปตั้งแต่เดือนมีนาคม 2009
พานาเมอรา ถือเป็นรถยนต์ 4 ประตูรุ่นแรกในไลน์ผลิตของพอร์ช แต่ไม่ใช่ครั้งแรกที่พอร์ชคิดจะผลิตรถยนต์ 4 ประตู เพราะถ้ายังจำกันได้ย้อนกลับไปในปี 1988 พอร์ชภายใต้การนำทัพของอุลริช เบซ ซึ่งปัจจุบันเป็นซีอีโอของแอสตันมาร์ติน เคยวาดฝันที่จะผลิตเก๋ง 4 ประตูออกสู่ตลาดเพื่อเสริมทัพกับรุ่น 928 ในการแข่งกับเมอร์เซเดส-เบนซ์ และบีเอ็มดับเบิลยู ซึ่งแนวคิดนี้ได้กลายมาเป็นรหัส 989 ในอีก 3 ปีให้หลัง แต่นั่นก็เป็นแค่ต้นแบบเท่านั้น และรถยนต์รุ่นนี้ก็ไม่เคยนำออกมาจัดแสดงสู่สาธารณะชนเลยแต่สุดท้ายอีก 20 ปีให้หลัง โปรเจ็กต์ได้กลายเป็นจริง
ขนาดตัวถังมีความยาว 4,970 มิลลิเมตร กว้าง 1,931 มิลลิเมตร สูง 1,418 มิลลิเมตร เครื่องยนต์วางด้านหน้าและขับเคลื่อนล้อหลัง ส่วนทางเลือกของเครื่องยนต์เท่าที่มีการเปิดเผยออกมาในตอนนี้ เป็นแบบบล็อก V ล้วนๆ ทั้ง 6 และ 8 สูบ โดยเน้นไปที่เบนซินแบบไดเร็กต์อินเจ็กชันหรือ DFI เป็นหลัก มีทั้งหายใจเอง และอัดอากาศด้วยเทอร์โบ โดยมีกำลังอยู่ในระดับ 300-500 แรงม้า
ส่วนความจุแม้ยังไม่ระบุ แต่เชื่อว่าจะมีทั้ง 3,600 ซีซี, 4,800 ซีซี และ 4,800 ซีซี เทอร์โบเหมือนกับคาเยนน์ ส่วนระบบส่งกำลังมีทั้งแบบธรรมดา 6 จังหวะ และอัตโนมัติแบบดับเบิลคลัตช์ 7 จังหวะที่เรียกว่า PDK- Doppelkupplungsgetriebe ส่วนการผลิต Porsche ตั้งเป้าเอาไว้ที่ 20,000 คันต่อปี
สำหรับการเปิดตัวอย่างเป็นทางการ ในตอนแรกมีข่าวว่าจะเผยโฉมครั้งแรกในเจนีวา มอเตอร์โชว์ เดือนมีนาคม 2009 แต่สุดท้ายถูกเลื่อนไปเป็นงานเซี่ยงไฮ้ มอเตอร์โชว์ ในอีก 1 เดือนถัดไป
9.Pininfarina Rolls-Royce Hyperion : หนึ่งเดียวเพื่อนักสะสม
อีกครั้งที่พินินฟารินาเอาใจนักสะสมรถยนต์คนพิเศษ เมื่อจัดการดัดแปลงรถยนต์ตามใบสั่งเหมือนกับที่เคนทำมาแล้ว โดยคราวนี้เป็นการร้องขอจากโรแลนด์ ฮอลล์ที่ต้องการแปลงโฉมโรลล์ส-รอยซ์ แฟนธอม ดรอปเฮด คูเป้ของตัวเองให้มีความสวยล้ำสมัยและไม่เหมือนใคร
นอกจากนั้น ผลงานครั้งนี้มีความพิเศษอีกประการคือ เป็นการทำงานครั้งสุดท้ายของพินินฟารินาภายใต้การดูแลดของแอนเดรีย พินิฟารินา เพราะก่อนหน้าการเปิดตัวในงานนี้ไม่ถึง 1 สัปดาห์ในงาน Pebble Beach Concurs d’Elegance กลางเดือนสิงหาคม 2008 บริษัทต้องสูญเสียเขาไปเพราะการเสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางรถยนต์
การร้องขอให้พัฒนารถยนต์คันนี้เกิดขึ้นในกลางปี 2007 และเริ่มขึ้นทันทีในปลายเดียวกัน โดยถือเป็นอีกครั้งที่พินินฟารินามีส่วนในการสร้างสรรค์รถยนต์จากแบรนด์โรลล์ส-รอยซ์หลังจากที่เคยฝากฝีมือไว้กับการออกแบบรุ่นซิลเวอร์ ดอว์นในปี 1951 และในปี 1975 กับรุ่น Camarque Coupe โดยรูปลักษณ์ภายนอกได้รับการสร้างสรรค์ใหม่เพื่อให้เกิดความแปลกตาจากรุ่นดรอปเฮด คูเป้ และเน้นความสวยสะอาดตาด้วยเส้นสายและไฟท้ายที่มีความเพีรยวบาง โดยไฟหน้าซึ่งได้รับการออกแบบใหม่เปลี่ยนมาเป็นแบบ Bi-Xenon พร้อมกับใช้หลอดแบบ LED เพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการส่องสว่าง
ไฮเพอเรียนไม่ได้เป็นการดัดแปลงรูปลักษณ์ภายนอกเท่านั้น แต่ยังเป็นการดัดแปลงส่วนต่างๆ ที่อยู่ภายในห้องโดยสารด้วย เช่น การเคลื่อนเบาะนั่งคู่หน้าถอยไปด้านหลังอีก 400 มิลลิเมตร พร้อมกับถอดเบาะนั่งหลังออกเพื่อให้ตัวรถเกิดความกว้างขวางและโอ่โถง พร้อมกับทำแผงไม้แบบเดียวกับที่ใช้ในเรือยอชท์ปิดทับตรงส่วนของเบาะนั่งหลัง โดยแผงไม้นี้สามารถเปิดออกได้เพื่อให้หลังคาผ้าใบที่ได้รับการออกแบบใหม่กางออกมาได้
นอกจากนั้นยังถือเป็นการกลับมาร่วมงานอีกครั้งระหว่างพินินฟารินากับบริษัทผลิตนาฬิกาชื่อดังแห่งสวิตเซอร์แลนด์อย่าง Girard-Perregaux โดยพินินฟารินาได้นำนาฬิการุ่น Tiurbillion ปี 1945 ของ Girard-Perregaux มาติดตั้งอยู่บนแผงคอนโซลกลางของตัวรถเพื่อความหรูหราและเอกลักษณ์ที่ไม่เหมือนใคร
10.Nissan 370Z : เขย่าอารมณ์สปอร์ตครั้งใหม่
ต่อจาก GT-R นิสสันยังเขย่าตลาดรถสปอร์ตอย่างต่อเนื่อง และคราวนี้มาถึงคิวของ Z-Car โดยจัดการเผยโฉมใหม่ในชื่อ 370Z หรือแฟร์เลดี้ แซดสำหรับตลาดญี่ปุ่นออกมาแล้ว เพื่อแทนที่รุ่นเดิมซึ่งใช้ชื่อว่า 350Z ในรหัสตัวถัง Z33
การเปิดตัวมีขึ้นครั้งแรกในแอลเอ มอเตอร์โชว์ ประเทศสหรัฐอเมริกา เดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา แต่สุดท้ายคนญี่ปุ่นได้ขับก่อนใครเพราะนิสสันส่งขายในบ้านตัวเองแล้ว ซึ่งแฟร์เลดี้ แซด หรือ 370Z มากับรหัสตัวถัง Z34 บนตัวถังสปอร์ตคูเป้ที่มีความยาว 4,250 มิลลิเมตร และระยะฐานล้อ 2,550 มิลลิเมตร ซึ่งได้รับการพัฒนาบนพื้นตัวถังในรปัส FM ที่ได้รับการปรับปรุงใหม่
เร้าใจกับเครื่องยนต์รหัส VQ37VHR ที่ใช้อยู่ใน G37 ของอินฟินิตี้ และนิสสัน สกายไลน์ มีความจุกระบอกสูบ 3,700 ซีซี พร้อมระบบวาล์วแปรผันรุ่นไหม่ที่เรียกว่า VVEL หรือ Variable Valve Event and Lift ซึ่งในสเปกญี่ปุ่นมากับกำลังสูงสุด 336 แรงม้า ที่ 7,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 37.2 กก.-ม. ที่ 5,200 รอบ/นาที ส่งกำลังด้วยเกียร์ธรรมดา 6 จังหวะ หรืออัตโนมัติ 7 จังหวะสู่การขับเคลื่อนแบบล้อหลัง
นิสสันตั้งเป้าขายในบ้านตัวเองเอาไว้ที่ 500 คันต่อเดือน โดยมีราคาอยู่ที่ 3,622,500-4,462,500 เยน หรือ 1.2-1.5 ล้านบาท