ถือว่าไม่ใช่เรื่องแปลกแต่อย่างใดที่เวอร์ชันเปิดประทุนของมินิ คูเปอร์รุ่นใหม่จะเปิดตัวตามหลังรุ่นแฮทช์แบ็กโดยทิ้งระยะเวลานานเอาเรื่อง ซึ่งรวมแล้วก็ร่วมๆ 2 ปีหลังจากที่มินิ คูเปอร์ Mk II ถูกเปิดตัวออกมาในปี 2007
เหตุผลก็เพราะว่าในรุ่นที่แล้ว มินิทำตลาดให้กับรุ่นเปิดประทุนล่าช้า เพราะกว่าจะเปิดตัวก็เป็นปี 2005 และในรุ่นใหม่ถ้าขืนเร่งเร้าเปิดตัว รุ่นเก่าก็อาจจะมีปัญหาในเรื่องของการระบายรถไม่ทันเพราะมีระยะเวลาในการทำตลาดที่กระชั้นเกินไป
มินิวางคิวเปิดตัวรุ่นคูเปอร์ เปิดประทุนในงานดีทรอยต์ มอเตอร์โชว์ 2009 เดือนมกราคม และสามารถส่งมอบรถให้กับลูกค้าในยุโรปได้ทันทีในเดือนมีนาคม ส่วนคนอเมริกันที่ได้เห็นหน้าตาก่อนใครก็ต้องรอกันต่อไปตามระเบียบ เพราะว่ามีคิวขายในช่วงกลางปีเดียวกัน
การพัฒนามีขึ้นบนพื้นฐานเดียวกับแฮทช์แบ็ก และถือเป็นตัวถังที่ 3 ของมินิ คูเปอร์ Mk II ต่อจากแฮทช์แบ็ก และแวกอนที่ขายในชื่อคลับแมน ส่วนชุดหลังคาผ้าใบเป็นแบบพับเก็บได้ด้วยระบบไฟฟ้า ใช้เวลาเพียง 15 วินาทีในการกางออก หรือพับเก็บ และระบบสามารถทำงานได้แม้ว่ารถกำลังเคลื่อนที่ แต่จะต้องใช้ความเร็วไม่เกิน 20 ไมล์/ชั่วโมง หรือ 32.2 กิโลเมตร/ชั่วโมง
สำหรับพื้นที่เก็บสัมภาระด้านท้ายได้รับการขยายขึ้นจากรุ่นเดิมโดยเมื่อหลังคาอ่อนถูกพับเก็บลงมาจะมีความจุ 125 ลิตร (เพิ่มขึ้นจากรุ่นเดิม 5 ลิตร) และจะเพิ่มเป็น 170 ลิตรเมื่อกางหลังคาออก (เพิ่มขึ้นจากรุ่นเดิม 5 ลิตร) และเบาะหลังสามารถพับได้ ซึ่งเมื่อพับลงมาทั้งหมดนั้นจะทำให้พื้นที่บรรทุกสัมภาระเพิ่มขึ้นเป็น 660 ลิตร (เพิ่มขึ้นจากรุ่นดิม 55 ลิตร)
ทางเลือกของเครื่องยนต์ในเวอร์ชันนี้มีเพียงแค่ 2 แบบในสไตล์เบนซิน ส่วนเทอร์โบดีเซลยังไม่ปรากฏออกมา เริ่มจากขุมพลังแบบ 4 สูบ พร้อมระบบ Valvetronic 1,600 ซีซีสำหรับรุ่นคูเปอร์ ซึ่งมีกำลังสูงสุด 120 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 16.3 กก.-ม. มีอัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมงใน 9.8 วินาที
หรือเร้าใจกับเครื่องยนต์ 4 สูบ ทวินแคม 16 วาล์ว 1,600 ซีซี เทอร์โบแบบ Twin Scroll ในรุ่นคูเปอร์ เอส ซึ่งเป็นเครื่องยนต์ที่บีเอ็มดับเบิลยูพัฒนาร่วมกับกลุ่ม PSA (เปอร์โยต+ซีตรอง) แห่งฝรั่งเศส รีดกำลังออกมาได้ 170 แรงม้า และแรงบิดสูงสุด 24.4 กก.-ม. หรือ 26.5 กก.-ม. ในโหมด Overboost มีอัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมงใน 7.4 วินาที
การผลิตอยู่ที่โรงงานในเมืองออกฟอร์ด ประเทศอังกฤษเหมือนกับเพื่อนร่วมสายพันธุ์ ส่วนราคาขายในอังกฤษถูกตั้งเอาไว้ที่ 15,995-18,995 ปอนด์ หรือ 895,000-1,060,000 บาท