หลังจากปรับโฉมแบบไมเนอร์เชนจ์มาแล้ว 1 ครั้งเมื่อปีก่อน มาคราวนี้มาสด้า ประเทศไทย ขอกระตุ้นตลาดให้กับซีดานตัวขายอย่าง “3” อีกครั้ง ด้วยการปรับแบบ “มินิ ไมเนอร์เชนจ์” ก่อนที่จะโฉมโมเดลเชนจ์จะออกจำหน่ายอย่างเป็นทางการในตลาดโลกปี 2010 ตามการประกาศล่าสุดของทาง มาสด้า มอเตอร์ ที่ญี่ปุ่น นั่นหมายความว่า ผู้บริโภคชาวไทยที่สนใจ “3 มินิไมเนอร์เชนจ์” มีเวลาขับเฉิดฉายมากกว่า 1 ปี โดยไม่ตกรุ่นอย่างแน่นอน
สำหรับการปรับโฉมครั้งนี้ ด้านหน้ามิได้มีการปรับเปลี่ยนแต่อย่างใด มีเพียงด้านท้ายเปลี่ยน กันชนหลัง ทรงสปอร์ตที่ถอดแบบมาจากรุ่น MPS พร้อมกับเปลี่ยนไฟท้ายหันมาใช้แบบ LED และเสริมความสะดวกด้วยระบบกุญแจอัจฉริยะ Key Card เปิด-ปิดรถอัตโนมัติ-สตาร์ทรถเพียงบิดปุ่ม เฉพาะรุ่นเครื่องยนต์ 2.0 ลิตรเท่านั้น
ด้านเครื่องยนต์ไม่มีการปรับเปลี่ยนอะไร ขุมพลัง MZR 4 สูบ DOCH 16 วาล์ว มีให้เลือกขนาด 1.6 ลิตร ให้กำลังสูงสุด 105 แรงม้า และ 2.0 ลิตรให้กำลังสูงสุด 147 แรงม้า พร้อมระบบวาล์วแปรผัน SVT (Sequential Valve Timing) รองรับเชื้อเพลิงชนิด E20 และระบบคันเร่ง Drive-By-Wire ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 4 สปีดและธรรมดา 5 สปีด
ซึ่งมาสด้าเชิญ “ผู้จัดการมอเตอริ่ง” เข้าร่วมทดสอบ แม้ก่อนที่เราจะตอบรับเข้าร่วมเดินทาง เรามีคำถามในใจอยู่ก่อนแล้วว่า “เปลี่ยนแค่อุปกรณ์ภายนอกแล้วจะให้ไปขับทำไม ผลมันคงไม่ต่างจากเดิมหรอก” แต่เราก็ตอบรับคำเชิญด้วยเหตุผล “เผื่อว่ามันจะมีอะไร”
ก่อนออกเดินทาง ทีมงานมาสด้าบรรยายความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับเจ้า 3 มินิไมเนอร์เชนจ์ และเปิดโอกาสให้สอบถามข้อสงสัย ซึ่งทีมงานมาสด้าบอกว่า นอกจากการเปลี่ยนภายนอกดังกล่าวแล้ว ภายในตัวถังยังเพิ่มการบุผนังด้านท้ายรถเสริมเข้าไปอีกเพื่อช่วยป้องกันเสียงดังจากภายนอกเข้ามารบกวนอีกหนึ่งรายการ
ส่วนเส้นทางจะเริ่มจากกรุงเทพฯ ถึงกุยบุรี(ประจวบคีรีขันธ์) ระยะทางกว่า 300 กม. โดย รถหนึ่งคันต่อสื่อมวลชน 4 ท่าน ขาไปเราได้รถตัว 1.6 ลิตรแบบ 5 ประตู ช่วงแรกเราประจำการเป็นผู้โดยสารตอนหน้า ความรู้สึกคือ เหมือนเดิมไม่แตกต่างหลังจากนั่งมากว่า 100 กม. และจากคำบอกเล่าของสื่อมวลชนที่นั่งตอนหลัง รู้สึกว่าเสียงลมเงียบขึ้นกว่าเดิม แต่เสียงยางดังขึ้น และที่สำคัญคือ นั่งนุ่มกว่าเดิม
ด้านคนขับก็บอกว่า เหมือนรถนุ่มกว่าเดิม ท้ายมีการให้ตัวมากกว่า ไม่นิ่งเท่าตัวก่อนหน้าเมื่อวิ่งด้วยความเร็วสูงเจอโค้งเจอเนินอาการยิ่งชัด ซึ่งเรื่องนี้มีการพูดคุยกันกับสื่อมวลชนหลายท่านและความเห็นก็ออกมาในทิศทางเดียวกัน ดังนั้นเราจึงต้องไปหาคำตอบจากทีมงานมาสด้า
ซึ่งก่อนออกเดินทางเราถามย้ำแล้วว่า มีการเปลี่ยนชิ้นส่วนเครื่องยนต์หรือปรับช่วงล่างบ้างไหมคำตอบคือ “ไม่มีการปรับใดๆ ทั้งสิ้น” ฉะนั้นแล้วความรู้สึกที่ว่านุ่มขึ้นมันมาจากไหน คำตอบของทีมงานมาสด้าออกมาที่ “ยาง” เนื่องจากเจ้า 3 ตัวนี้มีการเปลี่ยนซัพพลายเออร์ยางจากบริดสโตนมาเป็น กู๊ดเยียร์ (ยางผลิตในฟิลิปินส์)
และทีมงานยอมรับว่า เนื้อยางนุ่มกว่าและให้ตัวมากกว่าเดิม ดังนั้นจึงเป็นอันว่า กระจ่างครับว่าความรู้สึกที่แตกต่างไปจากรุ่นเดิมทั้งที่ช่วงล่างไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง นั้นมาจากการเปลี่ยนยาง
ขากลับ เราขับตัว 2.0 ลิตร ความรู้สึกการขับเจ้า 3 ยังคงให้ความสนุกในการขับเหมือนเดิม คันเร่งคิกดาวน์ติดง่าย การเก็บเสียงลมทำได้ดี เริ่มได้ยินเมื่อวิ่งด้วยความเร็วเกินกว่า 120 กม./ชม. ส่วนเรื่องการใช้งานของกุญแจแบบใหม่ ถือว่าช่วยอำนวยความสะดวกดี สามารถพกกุญแจไว้ในกระเป๋าโดยไม่ต้องควักออกมา ก็ขับรถออกไปได้
สรุป ปรับแล้วหล่อขึ้นบวกกับอุปกรณ์ที่ได้เพิ่มขึ้นมาเทียบราคาที่เปลี่ยนแปลงเพียงเล็กน้อย คุ้มค่าแน่นอนอย่างไม่ต้องสงสัย ใครที่เป็นคนพันธ์ “ซูม ซูม” มองหาซีดานสักคัน “3 มินิไมเนอร์เชนจ์” คงเป็นหนึ่งในตัวเลือกที่ไม่ควรมองข้าม