ค่ายรถประเมินสถานการณ์ หลังพิษวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ลุกลามทั่วโลก พันธมิตรฟอร์ด-มาสด้า หวั่นไฟแนนซ์ปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ย ชะลอปล่อยสินเชื่อ ทำให้ผู้บริโภคซื้อรถลำบากขึ้น ด้านอีซูซุจับตาสถานการณ์ใกล้ชิดหวั่นกระทบส่งออก ขณะที่ยักษ์ใหญ่โตโยต้า เชื่อประชาชนชะลอการตัดสินใจซื้อรถ หลังความวุ่นวายในบ้านเมืองส่งผลเสถียรภาพรัฐบาล ส่วนฮอนด้าคาดปีหน้าตลาดรถในประเทศซบแน่นอน
จากปัญหาวิกฤตการเงินสหรัฐอเมริกา กำลังส่งผลกระทบชิ่งให้เศรษฐกิจโลกชะลอตัวในปีหน้า...มรสุมลูกโตที่กำลังขยายวงกว้างไปเรื่อยๆ แน่นอนว่าไทยเป็นหนึ่งประเทศที่หนีวงจรนี้ไม่พ้น ขณะเดียวกันเหตุการณ์จลาจลในวันที่ 7 ตุลาคมที่ผ่านมา ยิ่งทำให้สถานการณ์บ้านเมืองอึมครึมไร้ทางออก
จากวิฤตการเงินโลก-การเมืองปั่นป่วน ส่งผลโดยตรงกับเศรษฐกิจไทย โดยเฉพาะอุตสาหกรรมยานยนต์ที่ถือเป็นอุตสาหกรรมหลักของประเทศ จะโดนหากเลขใดบ้าง และค่ายรถเองมองสถานการณ์นี้อย่างไร
ฟอร์ด –มาสด้า คาดไฟแนนซ์เข้มสินเชื่อ
สาโรช เกียรติเฟื่องฟู รองประธานอาวุโส ฟอร์ด ประเทศไทย กล่าวว่า ปัญหาเศรษฐกิจโลกถดถอยย่อมมีผลต่อความเชื่อมั่นของผู้บริโภคในการตัดสินใจเลือกซื้อสินค้า ไม่ว่าจะเป็นชนิดใด ฉะนั้นเวลานี้ ฟอร์ด จึงจับตาดูความเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นอย่างใกล้ชิด
“ผลกระทบของปัญหานี้จะค่อยๆ เกิดขึ้นและจะเห็นชัดสำหรับตลาดรถยนต์หาก ไฟแนนซ์มีปัญหา แล้วปล่อยสินเชื่อยากขึ้นหรือไม่ยอมปล่อยสินเชื่อ ทำให้ค่ายรถขณะนี้ลดการสต็อกรถและต้องวางแผนการผลิตให้สอดรับกับสถานการณ์”
อย่างไรก็ตามการลงทุนยังคงเดินหน้าต่อไป โดยไม่เกี่ยวว่าฟอร์ด ที่อเมริกาจะเกิดวิกฤตหรือไม่ เนื่องจากเงินลงทุนที่ประกาศไปนั้น ได้ลงทุนไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ซึ่งโรงงานอยู่ในระหว่างการกำลังเดินการก่อสร้าง คาดว่าจะแล้วเสร็จตามแผนที่กำหนด ทั้งนี้บริษัทมียอดขายปัจจุบันรวมทุกรุ่นเฉลี่ยเดือนละ 800 คัน ถือว่าพอใจท่ามกลางสภาวะวิกฤตต่างๆที่เกิดขึ้นอยู่ในขณะนี้
ด้านจอห์น เรย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท มาสด้า เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า ผลกระทบจากสถานการณ์การเงินสหรัฐ จะส่งผลกับอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยแน่นอน โดยเฉพาะบรรดาสถาบันการเงินที่จะเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อมากขึ้น
จากปัญหาดังกล่าว ผู้บริโภคอาจจะเป็นเจ้าของรถยนต์ได้ยากขึ้น ทั้งการปล่อยสินเชื่อ ไปจนถึงปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ย ซึ่งบริษัทเองเตรียมนโยบายต่างๆพร้อมรับมือ อาทิ การจัดแคมเปญส่งเสริมการขายในรูปแบบต่างๆ อย่างไรก็ตามยอดขายมาสด้าในปีนี้น่าจะทำได้ 12,000 คัน น้อยกว่าต้นปีที่ตั้งเอาไว้ 15,000 – 16,000 คัน อันเป็นผลมาจากตลาดรถปิกอัพที่ลดลงอย่างมาก
โตโยต้า-อีซูซุ หวั่นส่งออก
โตโยต้า โดย ศุภรัตน์ ศิริสุวรรณางกูร ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่อาวุโส ย้ำว่า จากความไม่สงบในบ้านเมือง ส่งผลกระทบกับเศรษฐกิจประเทศแน่นอน ขณะเดียวกันการเมืองไม่มั่นคง การดำเนินนโยบายหรือเดินหน้าโครงการเมกะโปรเจกท์ต่างๆของรัฐบาลต้องสะดุดลงไปด้วย ด้านผู้บริโภคเองก็ชะลอการตัดสินใจซื้อรถยนต์ออกไป
นอกจากนี้วิกฤตการเงินในสหรัฐอเมริกา กำลังลุกลามไปทั่วโลก และหากยุโรปเกิดปัญหาเช่นเดียวกับอเมริกา อาจจะกระทบต่ออุตสาหกรรมยานยนต์ไทยได้ เนื่องจากยุโรปเป็นตลาดใหญ่อันดับ 3 ของการส่งออกรถยนต์จากประเทศไทย ส่วนตลาดใหญ่ที่สุดอย่างเอเชียแปซิฟิคและอาเซียน อาจจะได้รับผลกระทบต่อเนื่องเช่นเดียวกัน
สำหรับตัวเลขยอดขายตลาดรวมในประเทศปีนี้คาดว่าจะอยู่ประมาณ 6.5 แสนคัน เนื่องจากปัจจัยราคาน้ำมันที่เคยสูงมากกำลังลดลง ส่งผลให้ตลาดปิกอัพกลับมาคึกคักอีกครั้ง รวมถึงการเปิดตัวรถปิกอัพรุ่นใหม่และออกแคมเปญส่งเสริมการขายจะช่วยดันให้ยอดขายเป็นไปตามเป้าได้
ขณะที่ ปนัดดา เจณณวาสิน รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท ตรีเพชรอีซูซุเซลส์ จำกัด เปิดเผยว่า เกี่ยวกับวิกฤตการเงินในตลาดโลกขณะนี้ บริษัทกำลังเฝ้ามองอย่างใกล้ชิดและมีความกังวลพอสมควร เนื่องจากบริษัทฯ มีการส่งออกไปยังประเทศอื่น อย่างไรก็ตามยังมั่นใจว่ายอดส่งออกปีนี้จะทำได้ตามเป้า 140,000 คัน เพราะมีการเปิดตลาดใหม่อยู่ตลอด ทั้งออสเตรเลีย และยุโรปตะวันออก
สำหรับตลาดในประเทศอาจยังไม่ได้รับผลกระทบชัดเจนนัก ส่วนปัจจัยเรื่องการเมือง และน้ำท่วมเป็นสิ่งที่ไม่สามารถควบคุมได้ จึงคาดว่าทั้งปี 2251 ยอดขายรถรวมทุกยี่ห้อน่าจะทำได้ประมาณ 6.5 แสนคัน เพิ่มขึ้นจากปี 2550 เล็กน้อย(6.3 แสนคัน) ส่วนยอดขายอีซูซุเองจะทำได้ตามเป้า 1.5 แสนคัน นั่นเป็นเพราะราคาน้ำมันที่ปรับตัวลดลงต่อเนื่อง และเข้าสู่ช่วงฤดูกาลขาย
ฮอนด้าเชื่อปีหน้าตลาดหงอย
อดิศักดิ์ โรหิตะศุน รองประธานกรรมการบริหารอาวุโส บริษัท เอเชี่ยนฮอนด้า มอเตอร์ จำกัด เปิดเผยว่า ช่วงต้นปีสภาพตลาดรถยนต์ดีมากทำให้มีการคาดว่ายอดขายจะถึง 7 แสนคัน แต่เวลานี้สถานการณ์เปลี่ยนแปลงไป ทั้งจากราคาน้ำมันสูงเมื่อช่วงกลางปี วิกฤตการเงินโลกและการเมืองวุ่นของไทย จึงเชื่อว่าสิ้นปีตลาดรวมจะอยู่ประมาณ 6.3 แสนคัน
“แม้ว่าจะมีข่าวดีเรื่องราคาน้ำมันลดลง แต่ปัญหาวิกฤตการเงินโลกและการเมืองวุ่นวายของไทยทำให้กำลังซื้อหด ผู้บริโภคชะลอการใช้จ่ายเงิน เนื่องจากเคยมีบทเรียนจากวิกฤตของไทยเมื่อปี 2540 ผู้ผลิตจะต้องบริหารต้นทุนให้ดี โดยปีหน้าคาดว่า ยอดขายรถคงไม่สดใส ดังนั้นเวลานี้ภาครัฐควรให้ความสำคัญกับการกระตุ้นเศรษฐกิจเป็นอันดับแรก”
สำหรับแผนการลงทุนของฮอนด้ายังเดินหน้าต่อไปไม่มีการชะลอ เนื่องจากเป็นการลงทุนระยะยาว ซึ่งแผนการขยายโรงงานและเพิ่มกำลังการผลิตเป็น 2.4 แสนคัน เสร็จเรียบร้อยแล้วและโรงงานใหม่พร้อมขึ้นไลน์ผลิตในสัปดาห์หน้า ด้านการส่งออกของฮอนด้าขณะนี้ยังไม่ได้รับผลกระทบกับวิกฤตการเงินโลก เพราะตลาดใหญ่ของฮอนด้าจะอยู่ที่ออสเตรเลีย และประเทศในเอเชีย แต่สถานการณ์ในปีหน้ายังไม่สามารถประเมินได้
จากปัญหาวิกฤตการเงินสหรัฐอเมริกา กำลังส่งผลกระทบชิ่งให้เศรษฐกิจโลกชะลอตัวในปีหน้า...มรสุมลูกโตที่กำลังขยายวงกว้างไปเรื่อยๆ แน่นอนว่าไทยเป็นหนึ่งประเทศที่หนีวงจรนี้ไม่พ้น ขณะเดียวกันเหตุการณ์จลาจลในวันที่ 7 ตุลาคมที่ผ่านมา ยิ่งทำให้สถานการณ์บ้านเมืองอึมครึมไร้ทางออก
จากวิฤตการเงินโลก-การเมืองปั่นป่วน ส่งผลโดยตรงกับเศรษฐกิจไทย โดยเฉพาะอุตสาหกรรมยานยนต์ที่ถือเป็นอุตสาหกรรมหลักของประเทศ จะโดนหากเลขใดบ้าง และค่ายรถเองมองสถานการณ์นี้อย่างไร
ฟอร์ด –มาสด้า คาดไฟแนนซ์เข้มสินเชื่อ
สาโรช เกียรติเฟื่องฟู รองประธานอาวุโส ฟอร์ด ประเทศไทย กล่าวว่า ปัญหาเศรษฐกิจโลกถดถอยย่อมมีผลต่อความเชื่อมั่นของผู้บริโภคในการตัดสินใจเลือกซื้อสินค้า ไม่ว่าจะเป็นชนิดใด ฉะนั้นเวลานี้ ฟอร์ด จึงจับตาดูความเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นอย่างใกล้ชิด
“ผลกระทบของปัญหานี้จะค่อยๆ เกิดขึ้นและจะเห็นชัดสำหรับตลาดรถยนต์หาก ไฟแนนซ์มีปัญหา แล้วปล่อยสินเชื่อยากขึ้นหรือไม่ยอมปล่อยสินเชื่อ ทำให้ค่ายรถขณะนี้ลดการสต็อกรถและต้องวางแผนการผลิตให้สอดรับกับสถานการณ์”
อย่างไรก็ตามการลงทุนยังคงเดินหน้าต่อไป โดยไม่เกี่ยวว่าฟอร์ด ที่อเมริกาจะเกิดวิกฤตหรือไม่ เนื่องจากเงินลงทุนที่ประกาศไปนั้น ได้ลงทุนไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ซึ่งโรงงานอยู่ในระหว่างการกำลังเดินการก่อสร้าง คาดว่าจะแล้วเสร็จตามแผนที่กำหนด ทั้งนี้บริษัทมียอดขายปัจจุบันรวมทุกรุ่นเฉลี่ยเดือนละ 800 คัน ถือว่าพอใจท่ามกลางสภาวะวิกฤตต่างๆที่เกิดขึ้นอยู่ในขณะนี้
ด้านจอห์น เรย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท มาสด้า เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า ผลกระทบจากสถานการณ์การเงินสหรัฐ จะส่งผลกับอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยแน่นอน โดยเฉพาะบรรดาสถาบันการเงินที่จะเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อมากขึ้น
จากปัญหาดังกล่าว ผู้บริโภคอาจจะเป็นเจ้าของรถยนต์ได้ยากขึ้น ทั้งการปล่อยสินเชื่อ ไปจนถึงปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ย ซึ่งบริษัทเองเตรียมนโยบายต่างๆพร้อมรับมือ อาทิ การจัดแคมเปญส่งเสริมการขายในรูปแบบต่างๆ อย่างไรก็ตามยอดขายมาสด้าในปีนี้น่าจะทำได้ 12,000 คัน น้อยกว่าต้นปีที่ตั้งเอาไว้ 15,000 – 16,000 คัน อันเป็นผลมาจากตลาดรถปิกอัพที่ลดลงอย่างมาก
โตโยต้า-อีซูซุ หวั่นส่งออก
โตโยต้า โดย ศุภรัตน์ ศิริสุวรรณางกูร ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่อาวุโส ย้ำว่า จากความไม่สงบในบ้านเมือง ส่งผลกระทบกับเศรษฐกิจประเทศแน่นอน ขณะเดียวกันการเมืองไม่มั่นคง การดำเนินนโยบายหรือเดินหน้าโครงการเมกะโปรเจกท์ต่างๆของรัฐบาลต้องสะดุดลงไปด้วย ด้านผู้บริโภคเองก็ชะลอการตัดสินใจซื้อรถยนต์ออกไป
นอกจากนี้วิกฤตการเงินในสหรัฐอเมริกา กำลังลุกลามไปทั่วโลก และหากยุโรปเกิดปัญหาเช่นเดียวกับอเมริกา อาจจะกระทบต่ออุตสาหกรรมยานยนต์ไทยได้ เนื่องจากยุโรปเป็นตลาดใหญ่อันดับ 3 ของการส่งออกรถยนต์จากประเทศไทย ส่วนตลาดใหญ่ที่สุดอย่างเอเชียแปซิฟิคและอาเซียน อาจจะได้รับผลกระทบต่อเนื่องเช่นเดียวกัน
สำหรับตัวเลขยอดขายตลาดรวมในประเทศปีนี้คาดว่าจะอยู่ประมาณ 6.5 แสนคัน เนื่องจากปัจจัยราคาน้ำมันที่เคยสูงมากกำลังลดลง ส่งผลให้ตลาดปิกอัพกลับมาคึกคักอีกครั้ง รวมถึงการเปิดตัวรถปิกอัพรุ่นใหม่และออกแคมเปญส่งเสริมการขายจะช่วยดันให้ยอดขายเป็นไปตามเป้าได้
ขณะที่ ปนัดดา เจณณวาสิน รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท ตรีเพชรอีซูซุเซลส์ จำกัด เปิดเผยว่า เกี่ยวกับวิกฤตการเงินในตลาดโลกขณะนี้ บริษัทกำลังเฝ้ามองอย่างใกล้ชิดและมีความกังวลพอสมควร เนื่องจากบริษัทฯ มีการส่งออกไปยังประเทศอื่น อย่างไรก็ตามยังมั่นใจว่ายอดส่งออกปีนี้จะทำได้ตามเป้า 140,000 คัน เพราะมีการเปิดตลาดใหม่อยู่ตลอด ทั้งออสเตรเลีย และยุโรปตะวันออก
สำหรับตลาดในประเทศอาจยังไม่ได้รับผลกระทบชัดเจนนัก ส่วนปัจจัยเรื่องการเมือง และน้ำท่วมเป็นสิ่งที่ไม่สามารถควบคุมได้ จึงคาดว่าทั้งปี 2251 ยอดขายรถรวมทุกยี่ห้อน่าจะทำได้ประมาณ 6.5 แสนคัน เพิ่มขึ้นจากปี 2550 เล็กน้อย(6.3 แสนคัน) ส่วนยอดขายอีซูซุเองจะทำได้ตามเป้า 1.5 แสนคัน นั่นเป็นเพราะราคาน้ำมันที่ปรับตัวลดลงต่อเนื่อง และเข้าสู่ช่วงฤดูกาลขาย
ฮอนด้าเชื่อปีหน้าตลาดหงอย
อดิศักดิ์ โรหิตะศุน รองประธานกรรมการบริหารอาวุโส บริษัท เอเชี่ยนฮอนด้า มอเตอร์ จำกัด เปิดเผยว่า ช่วงต้นปีสภาพตลาดรถยนต์ดีมากทำให้มีการคาดว่ายอดขายจะถึง 7 แสนคัน แต่เวลานี้สถานการณ์เปลี่ยนแปลงไป ทั้งจากราคาน้ำมันสูงเมื่อช่วงกลางปี วิกฤตการเงินโลกและการเมืองวุ่นของไทย จึงเชื่อว่าสิ้นปีตลาดรวมจะอยู่ประมาณ 6.3 แสนคัน
“แม้ว่าจะมีข่าวดีเรื่องราคาน้ำมันลดลง แต่ปัญหาวิกฤตการเงินโลกและการเมืองวุ่นวายของไทยทำให้กำลังซื้อหด ผู้บริโภคชะลอการใช้จ่ายเงิน เนื่องจากเคยมีบทเรียนจากวิกฤตของไทยเมื่อปี 2540 ผู้ผลิตจะต้องบริหารต้นทุนให้ดี โดยปีหน้าคาดว่า ยอดขายรถคงไม่สดใส ดังนั้นเวลานี้ภาครัฐควรให้ความสำคัญกับการกระตุ้นเศรษฐกิจเป็นอันดับแรก”
สำหรับแผนการลงทุนของฮอนด้ายังเดินหน้าต่อไปไม่มีการชะลอ เนื่องจากเป็นการลงทุนระยะยาว ซึ่งแผนการขยายโรงงานและเพิ่มกำลังการผลิตเป็น 2.4 แสนคัน เสร็จเรียบร้อยแล้วและโรงงานใหม่พร้อมขึ้นไลน์ผลิตในสัปดาห์หน้า ด้านการส่งออกของฮอนด้าขณะนี้ยังไม่ได้รับผลกระทบกับวิกฤตการเงินโลก เพราะตลาดใหญ่ของฮอนด้าจะอยู่ที่ออสเตรเลีย และประเทศในเอเชีย แต่สถานการณ์ในปีหน้ายังไม่สามารถประเมินได้