ในเมื่อตลาดรถยนต์เกิดใหม่กลายเป็นเป้าหมายสำหรับแบรนด์รถยนต์ต่างๆ ในการเจาะเข้าไปช่วงชิงส่วนแบ่งในตลาดเพื่อสร้างยอดขาย แต่ละค่ายต่างก็มีทางเลือกแห่งความประหยัดสำหรับเอาใจลูกค้าที่มีเบี้ยน้อย โดย เรโนลต์ ซึ่งเป็นอีกค่ายหนึ่งที่พยายามเข้าถึงตลาดกลุ่มนี้ จัดการเผยผลผลิตที่ 2 จากความร่วมกับดาเซีย แบรนด์รถยนต์โรมาเนีย ด้วยเปิดตัวโมเดลเชนจ์ของรุ่นโลแกนออกมาแล้ว และพร้อมขายในตลาดรถยนต์เกิดใหม่ทั่วโลก และก็รวมถึงรถยนต์ในประเทศใหญ่ๆ ด้วย
โลแกน เปิดตัวครั้งแรกในปี 2004 พร้อมกับความฮือฮาไม่น้อย เพราะเป็นผลผลิตแรกที่เกิดขึ้นหลังจากเรโนลต์เข้าเทคโอเวอร์กิจการของดาเซียในปี 1998 (โดยก่อนหน้านั้นในยุค 1970 เป็นการเข้ามาให้ความร่วมมือเพื่อช่วยพัฒนารถยนต์ และมีการซื้อหุ้นบางส่วนเอาไว้) รถยนต์รุ่นนี้ใช้ชื่อโปรเจ็กต์ X90 ในการพัฒนาโดยเริ่มการทำงานในปี 1999 และต้องใช้เวลานานร่วม 5 ปีกว่าที่จะเป็นคันจริงพร้อมขาย
โลแกนรุ่นแรกมีขายทั้งในประเทศใหญ่ๆ อย่างในยุโรปตะวันตก รวมถึงตลาดหลักอย่างยุโรปตะวันออก แอฟริกา อินเดีย และอเมริกาใต้ โดยในแต่ละที่ก็จะมีชื่อเรียกรุ่นแตกต่างกันไป เช่น นิสสัน เอพริโอ, เรโนลต์ ทอนดรา, มหินธรา เรโนลต์ โลแกน หรือเรโนลต์ โลแกน
สำหรับรุ่นใหม่ซึ่งเป็นเจนเนอเรชันที่ 2 ถูกเปิดตัวออกมาในช่วงเวลาไล่เลี่ยกับที่รถยนต์อีกรุ่นของดาเซียอย่างซานเดโรที่เปิดตัวในเจนีวา มอเตอร์โชว์ 2008 เดือนมีนาคมที่ผ่านมาเริ่มวางขายในยุโรป ซึ่งจะว่าไปแล้ว โลแกนใหม่ถูกพัฒนาอยู่บนพื้นฐานเดียวกับซานเดโร โดยใช้ตัวถังด้านหน้าจนถึงประตูบานหลังร่วมกัน แต่เปลี่ยนจากแฮทช์แบ็ก 5 ประตูมาเป็นซีดาน 4 ประตู
ตัวรถมากับความยาวในระดับ 4,290 มิลลิเมตร เพิ่มขึ้นจากรุ่นก่อนหน้านี้ 40 มิลลิเมตร กว้าง 1,740 มิลลิเมตร และสูง 1,428 มิลลิเมตร ซึ่งภายในมีพื้นที่กว้างขวางพอที่จะรองรับกับการใช้งานได้ในระดับหนึ่งตามสไตล์รถยนต์ซีดาน ส่วนเครื่องยนต์ที่มีให้เลือกในช่วงแรก มีเบนซิน 3 แบบ 1,400 ซีซี 75 แรงม้า ตามด้วย 1,600 ซีซี 90 และ 105 แรงม้า ส่วนเทอร์โบดีเซลเป็นแบบ 1,500 ซีซี 70 และ 85 แรงม้า
ถึงแม้ว่าจะเป็นรถยนต์ราคาประหยัด ในด้านความปลอดภัยที่เป็นอุปกรณ์มาตาฐานมากันครบครัน เช่น เอบีเอสที่ใช้ซอฟแวร์รุ่น 8.1 ของ Bosch ระบบกระจายแรงเบรกควบคุมด้วยอิเล็กทรอนิกส์ EBA และระบบเสริมแรงเบรก BA
แน่นอนว่าราคาเปิดของโลแกนยังยึดมั่นกับความประหยัด เพราะในยุโรปตั้งเอาไว้เพียง 7,400 ยูโร หรือ 370,000 บาท และจะเริ่มขายในปลายปีนี้ ก่อนกระจายออกสู่ตลาดทั่วโลก เช่น อินเดีย, อิหร่าน, ยุโรปตะวันออก, รัสเซีย และอเมริกาใต้
