xs
xsm
sm
md
lg

BRABUS BULLIT BLACK ARROW ติดจรวดให้ C-Class

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

นอกจาก AMG แล้ว บราบัสถือเป็นสำนักแต่งที่เกิดขึ้นมาเพื่อรองรับกับความต้องการของบรรดาผู้ที่หลงใหลความแรงในยนตรกรรมจากค่ายเมอร์เซเดส-เบนซ์ และผลผลิตล่าสุดถือว่าไม่ธรรมดา และน่าจะเรียกว่าเป็นตัวเด่นที่สุดในรอบหลายปี เมื่อบราบัสจับเอาต้นแบบที่ใช้ชื่อว่า Bullit Black Arrow ซึ่งพัฒนาบนพื้นฐานของซี-คลาสตัวปัจจุบันและเปิดตัวในเจนีวา มอเตอร์โชว์ 2008 มาสานฝันให้กลายเป็นความจริง พร้อมสมรรถนะแบบเหนือระดับชนิดที่ประชันกับซูเปอร์คาร์ค่าตัวแพงได้อย่างไม่อายใคร

อาจจะดูเหมือนจงใจกัดฉายาซิลเวอร์ แอร์โรว์ที่ เมอร์เซเดส-เบนซ์ มักจะใช้เรียกรถแข่ง F1 รวมถึงรถแข่ง และบรรดาตัวแรงทั้งหลายโดยได้รับอิทธิพลมาจากตัวแข่งที่โด่งดังในช่วงทศวรรษที่ 1950 เพราะบราบัสจัดการตั้งชื่อสปอร์ตซีดานตัวแรงนี้ใหม่และเป็นดาร์คไซด์ของซี-คลาส เพราะใช้ชื่อว่า Bullit Black Arrow โดยหลังจากเปิดตัวในเจนีวา มอเตอร์โชว์เมื่อ 3 เดือนที่แล้ว บรรดาแฟนๆ ของค่ายดาว 3 แฉกที่หลงใหลความแรงแบบสุดๆ ต่างสอบถามถึงความเป็นไปได้ในการขึ้นไลน์ผลิต ซึ่งในที่สุดเสียงเรียกร้องก็เป็นผล เพราะว่าบราบัสผลิตออกวางขายในตลาดเมื่อกลางเดือนมิถุนายนที่ผ่านมานี้เอง

ตัวรถได้รับการพัฒนาบนพื้นฐานของซี-คลาสรุ่นปัจจุบันที่มีรหัสตัวถัง W204 แต่เหนือชั้นกว่าในด้านความสปอร์ตด้วยการเปลี่ยนสีตัวถังเป็นแบบดำด้านที่เรียกว่า Matte-Black Coating ในสไตล์เดียวกับเครื่องบินสอดแนม Stealth พร้อมกับชุดแต่งที่เพิ่มความดุดันในทุกรายละเอียด โดยเฉพาะการตีโป่งตรงซุ้มล้อเพื่อให้ตัวถังขยายออกมาจากเดิมอีกฝั่งละ 60 มิลลิเมตร โดยที่ตัวรถมากับความยาว 4,590 มิลลิเมตร กว้าง 1,830 มิลลิเมตร และสูง 1,420 มิลลิเมตร แต่ที่ดูจะแย่กว่าเดิมเห็นจะเป็นเรื่องน้ำหนักตัวถังเพราะขยับจากตันครึ่งกว่าๆ ในรุ่นธรรมดามาอยู่ที่ 1,850 กิโลกรัม

แต่นั่นไม่ได้ส่งผลกระทบต่อสมรรถนะของตัวรถ เพราะแม้ว่าจะหนักขึ้น แต่เครื่องยนต์ที่วางอยู่ด้านหน้าถือว่าไม่ธรรมดา และมีความจัดจ้านชนิดที่ทำให้ Bullit Black Arrow แล่นด้วยความเร็วสูงสุดเกิน 350 กิโลเมตรต่อชั่วโมง และกลายเป็นรถยนต์ซีดานที่มีฝีเท้าจัดจ้านอีกรุ่นจากบราบัส ต่อจาก E V12 และ Brabus Rocket ที่พัฒนาบนพื้นฐานเดียวกับซีแอลเอส ซึ่งแล่นได้ 350.2 และ 365.7 กิโลเมตรต่อชั่วโมงตามลำดับ

เมื่อเปิดฝากระโปรงขึ้นมาจะพบกับเครื่องยนต์วี12 รหัส S V12 S ที่บราบัสโมดิฟายและนำมาใช้กับรถยนต์ขนาดกลางกึ่งใหญ่อย่างอี-คลาสไปจนถึงเอสแอล โดยขุมพลังบล็อกนี้ถูกขยายความจุในพิกัด 6,000 ซีซีมาเป็น 6,233 ซีซีทั้งการเพิ่มระยะชักของข้อเหวี่ยงและขยายกระบอกสูบ โดยมีเทอร์โบคู่ทำหน้าที่รีดกำลังเหมือนเดิม ส่งผลให้มีกำลังขยับขึ้นมาเป็น 730 แรงม้า ที่ 5,100 รอบต่อนาที และแรงบิดสูงสุดซึ่งจริงๆ แล้วทำได้ที่ 134.0 กก.-ม. ที่ 2,100 รอบต่อนาที แต่ถูกจำกัดเอาไว้ที่ 112.1 กก-ม. ด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์เพื่อป้องกันความเสียหายของเครื่องยนต์

ระบบขับเคลื่อนเป็นแบบล้อหลัง และใช้เกียร์อัตโนมัติ 5 จังหวะในการส่งกำลัง โดยลูกค้าที่ชอบความเร็วปลายสามารถเลือกเปลี่ยนอัตราทดเฟืองท้ายได้ตามความต้องการ ซึ่งในอัตราทดแบบธรรมดาที่ติดมากับตัวรถอยู่ที่ 2.65 : 1 ซึ่งจะทำความเร็วปลายได้เพียง 315 กิโลเมตรต่อชั่วโมง แต่ถ้าเปลี่ยนมาเป็นอีกแบบที่มีอัตราทดอยู่ที่ 2.24 : 1 ตัวเลขจะขยับขึ้นมาเป็นมากกว่า 360 กิโลเมตรต่อชั่วโมง แต่จะมีการล็อกเอาไว้ด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ที่ 350 กิโลเมตรต่อชั่วโมง

ส่วนในด้านอัตราเร่งไม่เปลี่ยนใช้เวลา 3.9 วินาทีในการทะยานจาก 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง และ 10.49 วินาทีสำหรับหลัก 200 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ส่วนระดับ 300 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ใช้เวลา 24.5 วินาที

แน่นอนว่าระบบช่วงล่างแม้ว่าจะยังใช้พื้นฐานเดิมแบบด้านหน้ายึด 3 จุด และด้านหลังแบบยึด 5 จุดแต่ก็มีการปรับปรุงกันหลายอย่างเพื่อรองรับกับม้าฝูงโตที่เพิ่มขึ้น เช่นเดียวกับระบบเบรกที่เปลี่ยนมาเป็นดิสก์หน้าขนาด 380 มิลลิเมตรพร้อมคาลิเปอร์แบบ 12 ลูกสูบ ส่วนด้านหลังมีขนาด 360 มิลลิเมตร พร้อมคาลิเปอร์แบบ 6 ลูกสูบ ส่วนล้อแม็กวงโตลายสวยที่ออกแบบอย่างเข้ากันกับตัวรถมีขนาด 9.5X19 นิ้วพร้อมยางขนาด 265/30ZR19 และด้านหลังมีขนาด 10X19 นิ้ว พร้อมยางขนาด 285/30ZR19 ซึ่งลูกค้าเลือกได้ว่าจะใช้ยางของ Yokohama หรือ Pirelli

บราบัสแปะป้ายราคาของ Bullit Black Arrow เอาไว้ที่ 348,000 ยูโร หรือ 17.4 ล้านบาทในยุโรป ซึ่งถือว่าแพงเอาเรื่องจริงๆ เพราะซื้อเฟอร์รารี่ F430 ได้เกือบ 2 คัน และแพงกว่ารุ่นธรรมดาของซี-คลาสเกือบ 10 เท่าตัว หรือ 5 เท่าเมื่อเปรียบเทียบกับ C63AMG ซึ่งเป็นตัวแรงจากโรงงาน AMG ตรงนี้ก็คงต้องเลือกกันเอาเองว่ารักหรือชอบแบบไหนกัน
กำลังโหลดความคิดเห็น