ข่าวในประเทศ – ศูนย์บริการ “บี-ควิก” ฉวยโอกาสคู่แข่งเปลี่ยนแปลงบริษัท ชิงลูกค้าที่กำลังสับสนเข้าซบอก ทั้งออกแคมเปญใหม่ ดึงน้ำมันเครื่อง “เชลล์” เข้ามาขาย และเร่งเปิดสาขาเพิ่ม ทุ่มงบปีนี้กว่า 250 ล้านบาท หวังฉุดรายได้ทะลุ 250 ล้านบาท หรือเติบโต 30%
นายเฮงก์ เจ คิกส์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ศูนย์บริการรถยนต์ “บี-ควิก” เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานช่วงไตรมาสแรกของปีนี้ บี-ควิกประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก โดยมีผลประกอบการเติบโตถึง 20% ในขณะที่ตลาดโดยรวมเติบโตประมาณ 5%
“สาเหตุมาจากการขยายตัวของตลาด และบี-ควิกได้มีการเปิดสาขาต่างจังหวัด 2 สาขา ที่สำคัญเป็นช่วงที่คู่แข่งเชลล์ ออโตเซิร์ฟ ได้มีการเปลี่ยนแปลงบริษัทดำเนินงานเป็นบริดจสโตน ทำให้ในช่วง 2-3 เดือนที่ผ่านมา ลูกค้าเก่าเกิดความสับสนเหมือนถูกทอดทิ้ง ไม่แน่ใจว่าจะเข้ารับการบริการหลังการขายได้ที่ใด จึงมีบางส่วนที่ได้เข้ามาใช้บริการกับบี-ควิกมากขึ้น”
ดังนั้นเพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้า บี-ควิกจึงได้ออกแคมเปญ “ขาดคนดูแล มาบี-ควิก” โดยอาสาดูแลให้บริการหลังการขายแก่ผู้ใช้รถสำหรับปีนี้ โดยเพียงแสดงสมุดคู่มือรับประกันยางของบริษัทฯ หรือศูนย์บริการใดก็ได้ จะได้รับการบริการหลังการขาย โดยไม่คิดมูลค่าใดๆ อาทิ สลับยางถ่วงล้อตามระยะ หรือการปะยางตลอดอายุยาง
ไม่เพียงเท่านั้นหากยางที่ผู้ใช้รถซื้อจากศูนย์บริการอื่นเกิดมีปัญหา และศูนย์บริการนั้นๆ ไม่ได้จำหน่ายยางยี่ห้อนั้นแล้ว บี-ควิกยินดีที่จะเป็นตัวกลางในการทำเคลมยางให้แก่ลูกค้ากับโรงงานผู้ผลิต ซึ่งบี-ควิกมีศักยภาพที่ทำได้ เพราะบี-ควิกเป็นศูนย์บริการรถยนต์อิสระเพียงรายเดยีวในประเทศไทย ที่ให้บริการยางทุกรุ่นทุกยี่ห้อ จึงมีความสัมพันธ์ที่ดีกับบริษัทยาง
นางสาวบุศรารัตน์ อัสสรัตนกุล ผู้บริหารสูงสุดฝ่ายปฏิบัติการ ศูนย์บริการรถยนต์ยี-ควิก เปิดเผยว่า ในช่วงที่ผ่านมาไม่เพียงมีลูกค้ามาใช้บริการเปลี่ยนยางรถยนต์เท่านั้น ในส่วนของน้ำมันเครื่องก็มีมาใช้ใช้บริการเพิ่มขึ้นมาก และบี-ควิกได้ตอบสนองความต้องการลูกค้า จากเดิมที่จะขายเฉพาะยี่ห้อโมบิลได้เพิ่มสินค้าเป็นน้ำมันเครื่อง “เชลล์” ด้วย โดยขณะนี้ได้จัดโปรโมชั่นลดราคาเป็นพิเศษด้วย
“เพื่อตอกย้ำความหลากหลายของบี-ควิก ล่าสุดได้แนะนำยางตัวใหม่ ธันเดอเรอร์(Thunderer) พร้อมกันถึง 4 รุ่น เพื่อรองรับตลาดผู้ใช้รถยนต์ที่ต้องยางคุณภาพในราคาประหยัด ซึ่งยางตัวนี้ถือเป็นเฮาส์แบรนด์ของบี-ควิก และในอนาคตจะมีการขยายเป็นไส้กรองอากาศเข้ามาเพิ่มอีกตัว”
ในส่วนของการขยายสาขาในต่างจังหวัด ปัจจุบันได้มีการเปิดตัวแล้ว 2 สาขา และกำลังดำเนินการอีก 1 สาขา ที่บิ๊กซีพัทยา คาดไว้ว่าภายในปีนี้จะขยายสาขาครบ 12 สาขา โดยใช้เงินลงทุนประมาณ 150 ล้านบาท และตั้งเป้าหมายเปิดในต่างจังหวัดปีละประมาณ 10 สาขา
“สำหรับงบการตลาดปีนี้ตั้งไว้ที่ประมาณ 80 ล้านบาท และงบโฆษณาทางโทรทัศน์อีก 20 ล้านบาท เมื่อรวมกับงบขยายสาขา รวมแล้วใช้เงินไม่ต่ำกว่า 250 ล้านบาท ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะทำให้บี-ควิกประสบความเร็จตามเป้าหมาย โดยเฉพาะการขยายตัวของลูกค้า และสาขาที่มากขึ้น บี-ควิกจึงคาดว่าจะทำให้รายได้ถึง 1,500 ล้านบาท หรือเติบโตจากปีที่ผ่านมา 30% ซึ่งทำได้ 1,200 ล้านบาท”
นายเฮงก์ เจ คิกส์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ศูนย์บริการรถยนต์ “บี-ควิก” เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานช่วงไตรมาสแรกของปีนี้ บี-ควิกประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก โดยมีผลประกอบการเติบโตถึง 20% ในขณะที่ตลาดโดยรวมเติบโตประมาณ 5%
“สาเหตุมาจากการขยายตัวของตลาด และบี-ควิกได้มีการเปิดสาขาต่างจังหวัด 2 สาขา ที่สำคัญเป็นช่วงที่คู่แข่งเชลล์ ออโตเซิร์ฟ ได้มีการเปลี่ยนแปลงบริษัทดำเนินงานเป็นบริดจสโตน ทำให้ในช่วง 2-3 เดือนที่ผ่านมา ลูกค้าเก่าเกิดความสับสนเหมือนถูกทอดทิ้ง ไม่แน่ใจว่าจะเข้ารับการบริการหลังการขายได้ที่ใด จึงมีบางส่วนที่ได้เข้ามาใช้บริการกับบี-ควิกมากขึ้น”
ดังนั้นเพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้า บี-ควิกจึงได้ออกแคมเปญ “ขาดคนดูแล มาบี-ควิก” โดยอาสาดูแลให้บริการหลังการขายแก่ผู้ใช้รถสำหรับปีนี้ โดยเพียงแสดงสมุดคู่มือรับประกันยางของบริษัทฯ หรือศูนย์บริการใดก็ได้ จะได้รับการบริการหลังการขาย โดยไม่คิดมูลค่าใดๆ อาทิ สลับยางถ่วงล้อตามระยะ หรือการปะยางตลอดอายุยาง
ไม่เพียงเท่านั้นหากยางที่ผู้ใช้รถซื้อจากศูนย์บริการอื่นเกิดมีปัญหา และศูนย์บริการนั้นๆ ไม่ได้จำหน่ายยางยี่ห้อนั้นแล้ว บี-ควิกยินดีที่จะเป็นตัวกลางในการทำเคลมยางให้แก่ลูกค้ากับโรงงานผู้ผลิต ซึ่งบี-ควิกมีศักยภาพที่ทำได้ เพราะบี-ควิกเป็นศูนย์บริการรถยนต์อิสระเพียงรายเดยีวในประเทศไทย ที่ให้บริการยางทุกรุ่นทุกยี่ห้อ จึงมีความสัมพันธ์ที่ดีกับบริษัทยาง
นางสาวบุศรารัตน์ อัสสรัตนกุล ผู้บริหารสูงสุดฝ่ายปฏิบัติการ ศูนย์บริการรถยนต์ยี-ควิก เปิดเผยว่า ในช่วงที่ผ่านมาไม่เพียงมีลูกค้ามาใช้บริการเปลี่ยนยางรถยนต์เท่านั้น ในส่วนของน้ำมันเครื่องก็มีมาใช้ใช้บริการเพิ่มขึ้นมาก และบี-ควิกได้ตอบสนองความต้องการลูกค้า จากเดิมที่จะขายเฉพาะยี่ห้อโมบิลได้เพิ่มสินค้าเป็นน้ำมันเครื่อง “เชลล์” ด้วย โดยขณะนี้ได้จัดโปรโมชั่นลดราคาเป็นพิเศษด้วย
“เพื่อตอกย้ำความหลากหลายของบี-ควิก ล่าสุดได้แนะนำยางตัวใหม่ ธันเดอเรอร์(Thunderer) พร้อมกันถึง 4 รุ่น เพื่อรองรับตลาดผู้ใช้รถยนต์ที่ต้องยางคุณภาพในราคาประหยัด ซึ่งยางตัวนี้ถือเป็นเฮาส์แบรนด์ของบี-ควิก และในอนาคตจะมีการขยายเป็นไส้กรองอากาศเข้ามาเพิ่มอีกตัว”
ในส่วนของการขยายสาขาในต่างจังหวัด ปัจจุบันได้มีการเปิดตัวแล้ว 2 สาขา และกำลังดำเนินการอีก 1 สาขา ที่บิ๊กซีพัทยา คาดไว้ว่าภายในปีนี้จะขยายสาขาครบ 12 สาขา โดยใช้เงินลงทุนประมาณ 150 ล้านบาท และตั้งเป้าหมายเปิดในต่างจังหวัดปีละประมาณ 10 สาขา
“สำหรับงบการตลาดปีนี้ตั้งไว้ที่ประมาณ 80 ล้านบาท และงบโฆษณาทางโทรทัศน์อีก 20 ล้านบาท เมื่อรวมกับงบขยายสาขา รวมแล้วใช้เงินไม่ต่ำกว่า 250 ล้านบาท ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะทำให้บี-ควิกประสบความเร็จตามเป้าหมาย โดยเฉพาะการขยายตัวของลูกค้า และสาขาที่มากขึ้น บี-ควิกจึงคาดว่าจะทำให้รายได้ถึง 1,500 ล้านบาท หรือเติบโตจากปีที่ผ่านมา 30% ซึ่งทำได้ 1,200 ล้านบาท”