ขณะที่บ้านเราเพิ่งมีโอกาสได้สัมผัสกับเอสแอลแบบไมเนอร์เชนจ์ พวงมาลัยขวาที่เปิดตัวครั้งแรกในบางกอก อินเตอร์เนชันแนล มอเตอร์โชว์ ทางฝั่งเยอรมนี เมอร์เซเดส-เบนซ์กระตุ้นตลาดให้กับน้องเล็กของสายพันธุ์อย่างเอ-คลาส ด้วยรุ่นปรับโฉมทั้งตัวถัง 3 และ 5 ประตูพร้อมทางเลือกใหม่แห่งความประหยัดด้วยชุดแพ็คเกจ BlueEFFICIENCY
สำหรับรุ่นใหม่มากับรหัส W169 เปิดตัวในปี 2004 และไม่ได้มีแค่ตัวถังแฮทช์แบ็ก 5 ประตูเท่านั้น แต่ยังเพิ่มอีกทางเลือกของความสปอร์ตด้วยรุ่น 3 ประตู นอกจากนั้นยังมีการแตกสายพันธุ์ออกมาเป็นรุ่นเอ็มพีวีที่ใช้ชื่อบี-คลาสตามออกมาด้วยในปี 2006
ในด้านความเปลี่ยนแปลงของตัวรถสัมผัสได้จากด้านหน้ากับชุดไฟหน้าทรงใหม่ซึ่งถูกออกแบบให้มีลักษณะโค้งเว้ามากขึ้นเพื่อรับกับกันชนหน้าทรงใหม่ ซึ่งมีลวดลายของช่องระบายอากาศใหม่ เน้นความสปอร์ตมากขึ้นกว่าเดิม ส่วนด้านท้ายแม้ว่าจะยังใช้ไฟท้ายทรงเดิม แต่จากการเปลี่ยนรูปทรงของกันชนใหม่ และการออกแบบลวดลายของเลนส์ไฟท้าย รวมถึงการปรับย้ายตำแหน่งของไฟสัญญาณต่างๆ ก็สามารถสัมผัสได้ถึงความเปลี่ยนแปลงอย่างชัดเจน อีกทั้งยังเพิ่มความสปอร์ตด้วยล้อแม็กลายใหม่ทั้งขนาด 15 และ 16 นิ้วขึ้นอยู่กับรุ่นเครื่องยนต์
ส่วนห้องโดยสารหันไปเน้นที่การเลือกใช้วัสดุใหม่ในการตกแต่งเพื่อเพิ่มสัมผัสที่แปลกใหม่ โดยที่แผงมาตรวัดและแผงหน้าปัด รวมถึงพวงมาลัยแบบ 3 ก้านยังเป็นแบบเดิม
นอกจากการทำตลาดด้วยเครื่องยนต์เดิมๆ แล้ว ทั้งเบนซิน A150 95 แรงม้า, A170 116 แรงม้า และ A200 193 แรงม้า ตามด้วยเทอร์โบดีเซล A160CDI 82 แรงม้า, A180CDI 109 แรงม้า และ A200CDI 140 แรงม้าแล้ว อีกประเด็นของความเปลี่ยนแปลงที่มีความแตกต่างอย่างชัดเจนจากรุ่นเดิม คือ การเน้นความประหยัดเพิ่มขึ้นภายใต้แพ็คเกจ BlueEFFICIENCY
ถ้าเป็นรุ่นเบนซินแบบ 4 สูบอย่าง A150 หรือ A170 จะมีระบบ ECOStart/Stop ให้เลือกเป็นออพชั่น ซึ่งจะดับเครื่องยนต์โดยอัตโนมัติเมื่อผู้ขับเปลี่ยนเกียร์ (ไม่ว่าจะเป็นธรรมดา หรืออัตโนมัติ) กลับมาอยู่ในตำแหน่งเกียร์ว่าง พร้อมกับเหยียบแป้นเบรก โดยจอดิจิตอลเล็กๆ บนแผงหน้าปัดจะแสดงเครื่องหมายการทำงานของระบบให้รับทราบ เมื่อผู้ขับปล่อยเบรก หรือเหยียบคลัตช์ เครื่องยนต์ก็จะสตาร์ทกลับมาทำงาน เหมือนกับรถยนต์ไฮบริด
ระบบนี้นอกจากจะช่วยลดการปลดปล่อยก๊าซพิษออกมาในระหว่างที่จอดติดไฟแดงแล้ว ยังช่วยเพิ่มความประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิงได้พอสมควร ประมาณ 6.5% เมื่อเปรียบเทียบกับรุ่นเดิม อย่าง A150 มีความสิ้นเปลืองอยู่ที่ 17.2 กิโลเมตร/ลิตร
ส่วนรุ่น 3 ประตู A160CDI เกียร์ธรรมดา จะมากับชุดแพ็คเกจของตัวถังที่มีการติดตั้งตามจุดต่างๆ เพื่อทำให้ตัวรถมีความเพรียวลม ลดแรงต้านของลมเวลาขับ ลดความสูงของตัวถังลงอีก 10 มิลลิเมตร ซึ่งเมื่อจับคู่กับเกียร์ธรรมดาแล้วมีความประหยัดเพิ่มขึ้น ด้วยตัวเลข 22.2 กิโลเมตร/ลิตร
ในส่วนของเทคโนโลยีใหม่ มีการติดตั้งไฟเบรกแบบกระพริบได้เพื่อแจ้งเตือนให้ผู้ขับขี่ที่อยู่ข้างหลังได้รับทราบ โดยระบบนี้เคยใช้อยู่ในรถยนต์รุ่นใหญ่ของเมอร์เซเดส-เบนซ์ ซึ่งระบบจะทำงานเมื่อมีการเบรกกะทันหันขณะขับด้วยความเร็วมากกว่า 50 กิโลเมตร/ชั่วโมง รวมถึงยังติดตั้งถุงลมนิรภัยคู่หน้าแบบพองตัวได้ 2 ระดับมาให้ด้วย ส่วนระบบช่วยจอด หรือ Park Assist เป็นออพชั่นที่ลูกค้าต้องจ่ายเพิ่ม
หลังเปิดตัวในงานที่ไลป์ซิก เมอร์เซเดส-เบนซ์มีคิวส่งเอ-คลาสลงทำตลาดในยุโรปทันที ส่วนรุ่นไฮเทคอย่าง A150 และ A170 ที่มากับระบบ EcoStart/Stop ต้องรออีกสักระยะเพราะมีคิวขายปลายปี ส่วนราคายังไม่เปิดเผย
สำหรับรุ่นใหม่มากับรหัส W169 เปิดตัวในปี 2004 และไม่ได้มีแค่ตัวถังแฮทช์แบ็ก 5 ประตูเท่านั้น แต่ยังเพิ่มอีกทางเลือกของความสปอร์ตด้วยรุ่น 3 ประตู นอกจากนั้นยังมีการแตกสายพันธุ์ออกมาเป็นรุ่นเอ็มพีวีที่ใช้ชื่อบี-คลาสตามออกมาด้วยในปี 2006
ในด้านความเปลี่ยนแปลงของตัวรถสัมผัสได้จากด้านหน้ากับชุดไฟหน้าทรงใหม่ซึ่งถูกออกแบบให้มีลักษณะโค้งเว้ามากขึ้นเพื่อรับกับกันชนหน้าทรงใหม่ ซึ่งมีลวดลายของช่องระบายอากาศใหม่ เน้นความสปอร์ตมากขึ้นกว่าเดิม ส่วนด้านท้ายแม้ว่าจะยังใช้ไฟท้ายทรงเดิม แต่จากการเปลี่ยนรูปทรงของกันชนใหม่ และการออกแบบลวดลายของเลนส์ไฟท้าย รวมถึงการปรับย้ายตำแหน่งของไฟสัญญาณต่างๆ ก็สามารถสัมผัสได้ถึงความเปลี่ยนแปลงอย่างชัดเจน อีกทั้งยังเพิ่มความสปอร์ตด้วยล้อแม็กลายใหม่ทั้งขนาด 15 และ 16 นิ้วขึ้นอยู่กับรุ่นเครื่องยนต์
ส่วนห้องโดยสารหันไปเน้นที่การเลือกใช้วัสดุใหม่ในการตกแต่งเพื่อเพิ่มสัมผัสที่แปลกใหม่ โดยที่แผงมาตรวัดและแผงหน้าปัด รวมถึงพวงมาลัยแบบ 3 ก้านยังเป็นแบบเดิม
นอกจากการทำตลาดด้วยเครื่องยนต์เดิมๆ แล้ว ทั้งเบนซิน A150 95 แรงม้า, A170 116 แรงม้า และ A200 193 แรงม้า ตามด้วยเทอร์โบดีเซล A160CDI 82 แรงม้า, A180CDI 109 แรงม้า และ A200CDI 140 แรงม้าแล้ว อีกประเด็นของความเปลี่ยนแปลงที่มีความแตกต่างอย่างชัดเจนจากรุ่นเดิม คือ การเน้นความประหยัดเพิ่มขึ้นภายใต้แพ็คเกจ BlueEFFICIENCY
ถ้าเป็นรุ่นเบนซินแบบ 4 สูบอย่าง A150 หรือ A170 จะมีระบบ ECOStart/Stop ให้เลือกเป็นออพชั่น ซึ่งจะดับเครื่องยนต์โดยอัตโนมัติเมื่อผู้ขับเปลี่ยนเกียร์ (ไม่ว่าจะเป็นธรรมดา หรืออัตโนมัติ) กลับมาอยู่ในตำแหน่งเกียร์ว่าง พร้อมกับเหยียบแป้นเบรก โดยจอดิจิตอลเล็กๆ บนแผงหน้าปัดจะแสดงเครื่องหมายการทำงานของระบบให้รับทราบ เมื่อผู้ขับปล่อยเบรก หรือเหยียบคลัตช์ เครื่องยนต์ก็จะสตาร์ทกลับมาทำงาน เหมือนกับรถยนต์ไฮบริด
ระบบนี้นอกจากจะช่วยลดการปลดปล่อยก๊าซพิษออกมาในระหว่างที่จอดติดไฟแดงแล้ว ยังช่วยเพิ่มความประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิงได้พอสมควร ประมาณ 6.5% เมื่อเปรียบเทียบกับรุ่นเดิม อย่าง A150 มีความสิ้นเปลืองอยู่ที่ 17.2 กิโลเมตร/ลิตร
ส่วนรุ่น 3 ประตู A160CDI เกียร์ธรรมดา จะมากับชุดแพ็คเกจของตัวถังที่มีการติดตั้งตามจุดต่างๆ เพื่อทำให้ตัวรถมีความเพรียวลม ลดแรงต้านของลมเวลาขับ ลดความสูงของตัวถังลงอีก 10 มิลลิเมตร ซึ่งเมื่อจับคู่กับเกียร์ธรรมดาแล้วมีความประหยัดเพิ่มขึ้น ด้วยตัวเลข 22.2 กิโลเมตร/ลิตร
ในส่วนของเทคโนโลยีใหม่ มีการติดตั้งไฟเบรกแบบกระพริบได้เพื่อแจ้งเตือนให้ผู้ขับขี่ที่อยู่ข้างหลังได้รับทราบ โดยระบบนี้เคยใช้อยู่ในรถยนต์รุ่นใหญ่ของเมอร์เซเดส-เบนซ์ ซึ่งระบบจะทำงานเมื่อมีการเบรกกะทันหันขณะขับด้วยความเร็วมากกว่า 50 กิโลเมตร/ชั่วโมง รวมถึงยังติดตั้งถุงลมนิรภัยคู่หน้าแบบพองตัวได้ 2 ระดับมาให้ด้วย ส่วนระบบช่วยจอด หรือ Park Assist เป็นออพชั่นที่ลูกค้าต้องจ่ายเพิ่ม
หลังเปิดตัวในงานที่ไลป์ซิก เมอร์เซเดส-เบนซ์มีคิวส่งเอ-คลาสลงทำตลาดในยุโรปทันที ส่วนรุ่นไฮเทคอย่าง A150 และ A170 ที่มากับระบบ EcoStart/Stop ต้องรออีกสักระยะเพราะมีคิวขายปลายปี ส่วนราคายังไม่เปิดเผย