นอกจากตัวถังซีดาน 4 ประตูแล้ว มิตซูบิชิยังเตรียมเสริมทัพในตลาดให้กับแลนเซอร์รุ่นปัจจุบัน ด้วยความสปอร์ตและปราดเปรียวบนเรือนร่างของแฮทช์แบ็ก 5 ประตู และแม้ว่าโปรเจ็กต์นี้จะเกิดมาเพื่อคนยุโรปโดยเฉพาะ แต่ดูเหมือนว่าแบรนด์ดังจากแดนปลาดิบจะไม่ปิดกั้นโอกาสของตัวเองในการทำตลาดกลุ่มอื่น เมื่อมีข่าวว่าจะมีการส่งแลนเซอร์ สปอร์ตแบ็ครุ่นนี้เข้าไปขายในสหรัฐอเมริกาอีกด้วย
ความจริงแล้วตัวถังแฮทช์แบ็กของแลนเซอร์ใหม่ถือเป็นผลผลิตแรกที่ถูกเปิดเผยออกมา มีมาก่อนรุ่นซีดานเสียอีก เพราะถ้าไล่เรียงลำดับทางด้านพัฒนาการแล้วจะพบว่ามิตซูบิชิเปิดตัวต้นแบบในชื่อสปอร์ตแบ็ค คอนเซ็ปต์ออกมาเขย่าตลาดก่อนใครเพื่อนในงานแฟรงค์เฟิร์ต มอเตอร์โชว์ 2005
ก่อนที่จะมีการพัฒนาแตกออกมาเป็นรุ่นซีดานในชื่อคอนเซ็ปต์-เอ็กซ์ที่งานโตเกียว มอเตอร์โชว์ในปีเดียวกัน แต่สุดท้ายก็กลายเป็นว่ามิตซูบิชิเลือกส่งแลนเซอร์ ซีดานออกขายในตลาดก่อนแฮทช์แบ็ก
แม้จะบอกว่านี่คือต้นแบบ แต่ที่เห็นอยู่นี้ถือว่าเป็นผลงานที่อยู่ในขั้นสุดท้ายของการพัฒนาก่อนกลายมาเป็นเวอร์ชันขายจริงแล้ว เรียกว่าปรับอีกนิดก็พร้อมลงโชว์รูมได้เลย โดยทุกรายละเอียดได้รับการพัฒนาอยู่บนพื้นฐานเดียวกับแลนเซอร์ ซีดาน โดยเฉพาะรูปลักษณ์ด้านหน้าซึ่งได้รับการออกแบบให้ดูดุดันภายใต้คอนเซ็ปต์ Jet Fighter ส่วนด้านท้ายออกแบบให้ลาดเทเพิ่มความสปอร์ตบนความอเนกประสงค์ของการใช้งาน
ตัวรถมีความยาวอยู่ในระดับ 4,585 มิลลิเมตร กว้าง 1,760 มิลลิเมตร และระยะฐานล้อ 2,635 มิลลิเมตร โดยรายละเอียดทางเทคนิคอิงอยู่บนพื้นฐานเดียวกับแลนเซอร์ แรลลี่ อาร์ต เวอร์ชันที่เพิ่งเปิดตัวขายในสหรัฐอเมริกา คือ ยกชุดเครื่องยนต์และระบบช่วงล่างมาจากแลนเซอร์ อีโวลูชัน 10 แต่ปรับลดความแรงลง
เครื่องยนต์ 4 สูบ ทวินแคม 16 วาล์ว 2,000 ซีซี เทอร์โบรุ่นใหม่ถูกลดกำลังจาก 280 แรงม้าลงมาอยู่ที่ 240 แรงม้า และแรงบิดสูงสุด 35.0 กก.-ม. โดยจะทำงานคู่กับเกียร์ธรรมดาคลัตช์ไฟฟ้า 6 จังหวะรุ่น SST และระบบขับเคลื่อน 4 ล้อตลอดเวลา โดยคาดว่าในรุ่นจำหน่ายจริงของแลนเซอร์ สปอร์ตแบ็คคงจะมีการปรับรายละเอียดทางเทคนิคกันอีกครั้งหนึ่ง
นอกจากนั้น ทางด้านมิตซูบิชิระบุว่าจะมีการส่งแลนเซอร์ สปอร์ตแบ็กเข้าไปขายในตลาดสหรัฐอเมริกาด้วยเพื่อเป็นการกระตุ้นยอดขายให้เดินตามแผนการ Step Up 2010 ซึ่งมีการตั้งเป้าหมายเอาไว้ว่าเมื่อสิ้นสุดปีธุรกิจในเดือนมีนาคม 2011 แล้ว มิตซูบิชิจะต้องมียอดขายรถยนต์ทั่วโลกขยับจาก 1.34 ล้านคันในปัจจุบันมาเป็น 1.42 ล้านคัน
ที่สำคัญมิตซูบิชิยังตั้งเป้าให้ผลกำไรจากการประกอบการให้ขยับขึ้นมาอยู่ในระดับ 50,000 ล้านเยน หรือ 15,000 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นกว่าเท่าตัวเมื่อเปรียบเทียบกับปีธุรกิจในปัจจุบันซึ่งตั้งเอาไว้เพียง 20,000 ล้านเยน หรือ 6,000 ล้านบาทเท่านั้นเอง และคาดหมายว่าตลาดเกิดใหม่อย่างรัสเซีย, อินเดีย และอเมริกาใต้จะเป็นตัวช่วยกระตุ้นให้บรรลุเป้าหมายในครั้งนี้
ถึงตอนนั้น ทุกอย่างก็น่าจะกลับมาเข้าที่เข้าทางกันอีกครั้ง หลังจากตกอยู่ในสภาพที่ไม่ค่อยสู้ดีนักนับจากเกิดเรื่องอื้อฉาวจนนำไปสู่ปัญหาที่บานปลายและส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อบริษัทในช่วงปลายทศวรรษที่ 1990
ความจริงแล้วตัวถังแฮทช์แบ็กของแลนเซอร์ใหม่ถือเป็นผลผลิตแรกที่ถูกเปิดเผยออกมา มีมาก่อนรุ่นซีดานเสียอีก เพราะถ้าไล่เรียงลำดับทางด้านพัฒนาการแล้วจะพบว่ามิตซูบิชิเปิดตัวต้นแบบในชื่อสปอร์ตแบ็ค คอนเซ็ปต์ออกมาเขย่าตลาดก่อนใครเพื่อนในงานแฟรงค์เฟิร์ต มอเตอร์โชว์ 2005
ก่อนที่จะมีการพัฒนาแตกออกมาเป็นรุ่นซีดานในชื่อคอนเซ็ปต์-เอ็กซ์ที่งานโตเกียว มอเตอร์โชว์ในปีเดียวกัน แต่สุดท้ายก็กลายเป็นว่ามิตซูบิชิเลือกส่งแลนเซอร์ ซีดานออกขายในตลาดก่อนแฮทช์แบ็ก
แม้จะบอกว่านี่คือต้นแบบ แต่ที่เห็นอยู่นี้ถือว่าเป็นผลงานที่อยู่ในขั้นสุดท้ายของการพัฒนาก่อนกลายมาเป็นเวอร์ชันขายจริงแล้ว เรียกว่าปรับอีกนิดก็พร้อมลงโชว์รูมได้เลย โดยทุกรายละเอียดได้รับการพัฒนาอยู่บนพื้นฐานเดียวกับแลนเซอร์ ซีดาน โดยเฉพาะรูปลักษณ์ด้านหน้าซึ่งได้รับการออกแบบให้ดูดุดันภายใต้คอนเซ็ปต์ Jet Fighter ส่วนด้านท้ายออกแบบให้ลาดเทเพิ่มความสปอร์ตบนความอเนกประสงค์ของการใช้งาน
ตัวรถมีความยาวอยู่ในระดับ 4,585 มิลลิเมตร กว้าง 1,760 มิลลิเมตร และระยะฐานล้อ 2,635 มิลลิเมตร โดยรายละเอียดทางเทคนิคอิงอยู่บนพื้นฐานเดียวกับแลนเซอร์ แรลลี่ อาร์ต เวอร์ชันที่เพิ่งเปิดตัวขายในสหรัฐอเมริกา คือ ยกชุดเครื่องยนต์และระบบช่วงล่างมาจากแลนเซอร์ อีโวลูชัน 10 แต่ปรับลดความแรงลง
เครื่องยนต์ 4 สูบ ทวินแคม 16 วาล์ว 2,000 ซีซี เทอร์โบรุ่นใหม่ถูกลดกำลังจาก 280 แรงม้าลงมาอยู่ที่ 240 แรงม้า และแรงบิดสูงสุด 35.0 กก.-ม. โดยจะทำงานคู่กับเกียร์ธรรมดาคลัตช์ไฟฟ้า 6 จังหวะรุ่น SST และระบบขับเคลื่อน 4 ล้อตลอดเวลา โดยคาดว่าในรุ่นจำหน่ายจริงของแลนเซอร์ สปอร์ตแบ็คคงจะมีการปรับรายละเอียดทางเทคนิคกันอีกครั้งหนึ่ง
นอกจากนั้น ทางด้านมิตซูบิชิระบุว่าจะมีการส่งแลนเซอร์ สปอร์ตแบ็กเข้าไปขายในตลาดสหรัฐอเมริกาด้วยเพื่อเป็นการกระตุ้นยอดขายให้เดินตามแผนการ Step Up 2010 ซึ่งมีการตั้งเป้าหมายเอาไว้ว่าเมื่อสิ้นสุดปีธุรกิจในเดือนมีนาคม 2011 แล้ว มิตซูบิชิจะต้องมียอดขายรถยนต์ทั่วโลกขยับจาก 1.34 ล้านคันในปัจจุบันมาเป็น 1.42 ล้านคัน
ที่สำคัญมิตซูบิชิยังตั้งเป้าให้ผลกำไรจากการประกอบการให้ขยับขึ้นมาอยู่ในระดับ 50,000 ล้านเยน หรือ 15,000 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นกว่าเท่าตัวเมื่อเปรียบเทียบกับปีธุรกิจในปัจจุบันซึ่งตั้งเอาไว้เพียง 20,000 ล้านเยน หรือ 6,000 ล้านบาทเท่านั้นเอง และคาดหมายว่าตลาดเกิดใหม่อย่างรัสเซีย, อินเดีย และอเมริกาใต้จะเป็นตัวช่วยกระตุ้นให้บรรลุเป้าหมายในครั้งนี้
ถึงตอนนั้น ทุกอย่างก็น่าจะกลับมาเข้าที่เข้าทางกันอีกครั้ง หลังจากตกอยู่ในสภาพที่ไม่ค่อยสู้ดีนักนับจากเกิดเรื่องอื้อฉาวจนนำไปสู่ปัญหาที่บานปลายและส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อบริษัทในช่วงปลายทศวรรษที่ 1990