ข่าวในประเทศ - “ยนตรกิจกรุ๊ป” เดินหน้าสยายปีกรุกตลาดรถไทย หลังจากเตรียมแยกธุรกิจกงสีของตระกูล “ลีนุพงษ์” ไปบางส่วน และจะมีการแถลงข่าวในเดือนเมษายนนี้ ล่าสุด “สรวิศย์ ลีนุตพงษ์” ที่ยังเดินหน้านำธุรกิจในเครือที่เหลืออยู่ เซ็นสัญญาเป็นผู้แทนจำหน่ายรถยนต์ทำมือประเภทซูเปอร์คา และไมโครคาร์ ยี่ห้อ “มิตซูโอกะ” จากญี่ปุ่น พร้อมลงนามตกลงร่วมทุนตั้งโรงงานในไทย ผลิตรถส่งออกทั่วภูมิภาคอาเซียน
หลังจากที่คนในตระกูล “ลีนุตพงษ์” กำลังปรับโครงสร้างและแบ่งธุรกิจในกงสี “ยนตรกิจกรุ๊ป” ซึ่งเป็นบริษัทผู้จำหน่ายรถยนต์ยี่ห้อโฟล์คสวาเกน, ออดี้, เปอโยต์, ซีตรอง, สโกด้า, เซียท และเกีย รวมถึงโรงงานประกอบรถยนต์ในเครือยนตรกิจ ตามที่ “ผู้จัดการมอเตอริ่ง” ได้รายงานไปแล้ว โดยรถยนต์โฟล์คสวาเกน นายวิทิต ลีนุพงษ์ แยกนำออกไปดูแลเอง เช่นเดียวกับเปอโยต์ที่นายพลกฤษณ์ และนายพสุพงษ์ ลีนุตพงษ์ ได้นำไปบริหารไม่ขึ้นกับกลุ่มยนตรกิจอีกต่อไป ส่วนรถยนต์ที่เหลือยังรวมกันบริหาร ภายใต้บริษัทในเครือยนตรกิจกรุ๊ปต่อไป นำโดยนายสรวิศย์ ลีนุต์พงษ์, นายถาวร ลีนุตพงษ์ และนายวิเชียร ลีนุตพงษ์
ล่าสุดกลุ่มยนตรกิจตามโครงสร้างใหม่ ภายใต้การนำของนายสรวิศย์ได้มีการขยายธุรกิจในเครือ โดยเมื่อวานนี้ (13 มี.ค.) นายสรวิศย์ ลีนุตพงษ์ ในฐานะประธานกรรมการบริหาร และนายถาวร ลีนุพงษ์ รองประธานกรรมการบริหาร บริษัท ในเครือยนตรกิจ กรุ๊ป ร่วมกับนายอากิโอะ มิตซูโอกะ ประธานบริษัท มิตซูโอกะ มอเตอร์ จำกัด ได้ลงนามในสัญญาแต่งตั้งบริษัทในเครือยนตรกิจ กรุ๊ป เป็นผู้แทนจำหน่ายรถยนต์ “มิตซูโอกะ” ในไทย และลงนามข้อตกลงเพื่อร่วมทุน ในการสร้างโรงงานผลิตรถยนต์มิตซูโอกะในไทยต่อไปในอนาคต
นายอากิโกะ มิตซูโอกะ ประธานบริษัท มิตซูโอกะ มอเตอร์ จำกัด ประเทศญี่ปุ่น เปิดเผยว่า บริษัทฯ เป็นผู้ผลิตรถยนต์แฮนด์เมดยี่ห้อ “มิตซูโอกะ” ของญี่ปุ่น ที่มีดีไซน์ของรถสไตล์ย้อนยุคอันมีต้นแบบมาจากรถยนต์คลาสสิคของอังกฤษ โดยเป็นรถประเภทซูเปอร์คา และไมโครคาร์ ซึ่งได้เริ่มดำเนินการมาตั้งแต่ปี 1968 การแต่งตั้งกลุ่มยนตรกิจเป็นผู้แทนจำหน่ายในไทย และลงนามเพื่อร่วมลงทุนประกอบรถยนต์มิตซูโอกะในไทยต่อไป จึงถือเป็นขยายตลาดของบริษัทฯ ในภูมิภาคอาเซียน
“เรามีแผนที่จะขยายตลาดในภูมิภาคอาเซียน และจากการเจรจากับกลุ่มยนตรกิจมาประมาณ 3 ปี ปรากฏว่าพอใจในเงื่อนไขต่างๆ จึงได้มีการตกลงเซ็นสัญญาในวันนี้ และหากการเจรจาร่วมทุนผลิตรถยนต์ในไทยสำเร็จ ซึ่งขณะนี้คืบหน้าไปกว่า 80% ไทยจะถือเป็นโรงแห่งแรกที่อยู่นอกประเทศญี่ปุ่น และสามารถตอบสนองนโยบายของมิตซูโอกะ ที่ต้องการเพิ่มกำลังการผลิตมากขึ้น”
นายสรวิศย์ ลีนุตพงษ์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ในเครือยนตรกิจ กรุ๊ป เปิดเผยว่า กลุ่มยนตรกิจมีความพร้อมที่จะเป็นผู้แทนจำหน่ายรถยนต์มิตซูโอกะในไทย โดยเฉพาะการร่วมทุนผลิตรถยี่ห้อนี้ ทั้งเพื่อทำตลาดในประเทศ และส่งออกไปยังภูมิภาคอาเซียน รวมถึงส่งกลับไปยังญี่ปุ่น หรือประเทศอื่นๆ ที่มิตซูโอกะมีเครือข่ายอยู่
“ขณะนี้การเจรจาเพื่อร่วมทุนกับมิตซูโอกะ เกือบจะเรียบร้อยแล้ว และคาดว่าน่าจะจบภายในสิ้นปีนี้ โดยการเจรจามี 2 แนวทาง คือ ตั้งบริษัทร่วมทุนเป็นผู้ดูแลการผลิต จัดหาชิ้นส่วนและส่งออก ด้วยการจ้างโรงงานของกลุ่มยนตรกิจประกอบรถให้ และอีกแนวทางตั้งบริษัทร่วมทุนขึ้นมา แล้วซื้อโรงงานของกลุ่มยนตรกิจ เพื่อตั้งเป็นโรงงงานประกอบของบริษัทร่วมทุนแห่งใหม่เลย”
ทั้งนี้กลุ่มยนตรกิจมีโรงงานประกอบรถยนต์อยู่ 2 แห่ง คือ โรงงานวายเอ็มซี แอสเซมบลี จำกัด (YMC) ที่เขตลาดกระบัง และโรงงานไทยประดิษฐประกอบรถยนต์ ซึ่งตั้งอยู่ที่นิคมอุตสาหกรรมลาดกระบัง และอยู่ในเขตส่งเสริมการลงทุนประกอบรถ โดยไม่ว่าจะการร่วมทุนจะเลือกแนวทางไหน จะใช้ไทยประดิษฐฯ เป็นโรงงานประกอบรถยนต์มิตซูโอกะ เพราะอยู่ในเขตส่งเสริมการลงทุน
สำหรับโรงงานไทยประดิษฐานฯ ได้มีการก่อสร้างเพื่อที่จะรองรับการขยายกำลังการผลิตของโรงงานวายเอ็มซี แอสเซมบลี ที่เดิมเคยประกอบรถยนต์เปอโยต์ โฟล์คสวาเกน และบีเอ็มดับเบิลยู แต่เมื่อเกิดวิกฤตเศรษฐกิจเมื่อปี 2540 จึงไม่ได้ดำเนินการใด โดยโรงงานไทยประดิษฐฯ นี้มีมูลค่าประมาณ 400-500 ล้านบาท
ส่วนการทำตลาดรถยนต์มิตซูโอกะในไทย ได้มีการตั้งโชว์รูมแห่งแรกอยู่ที่ถนนพระราม 9 โดยปีแรกจะนำเข้ารถยนต์มิตซูโอกะมาจำหน่าย 2 รุ่น ได้แก่ มิตซูโอกะ กาลู เป็นรถยนต์ซีดานที่ออกแบบให้มีความหรูหรา เบื้องต้นรุ่นที่นำเข้าจะเป็นรุ่นธรรมดา เครื่องยนต์ 2.5 ลิตรราคา 3.89 ล้านบาท และเครื่องยนต์ 3.5 ลิตร ราคา 5.87 ล้านบาท ซึ่งภายในปีนี้กาลูจะมีรุ่นฐานล้อยาวเข้ามาจำหน่ายเพิ่มอีก ขณะที่อีกรุ่นนำเข้ามาจำหน่าย มิตซูโอกะ โอโรชิ เป็นรถสปอร์ตที่ดีไซน์พิเศษด้านหน้าคล้ายงูโบราณในตำนานของญี่ปุ่น ราคา 11.9 ล้านบาท
เกี่ยวกับการแบ่งธุรกิจและปรับโครงสร้างของกลุ่มยนตรกิจ นายสรวิศย์กล่าวว่าทุกฝ่ายกำลังได้ข้อสรุปชัดเจน และจะมีการแถลงข่าวในเดือนเมษายนที่จะถึงนี้ ดังนั้นช่วงนี้จึงไม่ขอกล่าวถึงเรื่องนี้ อยากจะให้รอคณะผู้บริหารมาเปิดเผยพร้อมกัน ซึ่งจะมีความชัดเจนมากกว่าพูดทีละฝ่าย