นิสสัน มอเตอร์ ขยับตัวลุยตลาดคอมแพ็กต์ในญี่ปุ่นระลอกใหม่ จัดการปรับโฉมสายพันธุ์ทีด้า ทั้งรุ่นแฮทช์แบ็ก และซีดานที่ขายโดยมีชื่อพ่วงท้ายว่าลาติโอ (Latio) เน้นไปที่รูปลักษณ์ภายนอกซึ่งมีความสดใหม่ทั้งด้านหน้าและด้านหลัง ขณะที่ภายในห้องโดยสารเน้นความหรูมากขึ้นกว่าเดิม รวมถึงปรับสเปกของเครื่องยนต์และเกียร์เพื่อดึงดูดใจลูกค้า
ทีด้าเป็นสายพันธุ์ใหม่ของนิสสันที่คลอดออดมาเมื่อปลายปี 2004 เพื่อแทนที่รุ่นพัลซาร์และซันนี่ โดยรุ่นที่ทำตลาดมีทั้งแฮทช์แบ็กและซีดาน 4 ประตูโดยชูดจุดเด่นในเรื่องของความกว้างขวางของห้องโดยสารที่มีระดับเทียบเท่ากับรถยนต์ซีดานระดับหรู
รถยนต์รุ่นนี้มีขายในตลาดทั่วโลกรวมถึงสหรัฐอเมริกาที่ถูกเปลี่ยนมาเป็นเวอร์ซ่า (Versa) ยกเว้นในยุโรปที่ยังไม่มีการเปิดตัวขายนอกจากประเทศไอร์แลนด์เท่านั้น อีกทั้งช่วงปลายปีที่แล้ว นิสสันยังทำสัญญากับทางไครสเลอร์ในการผลิตทีด้าเพื่อส่งให้กับแบรนด์ดังของสหรัฐอเมริกานำไปเปลี่ยนชื่อรุ่นและยี่ห้อเพื่อทำตลาดอเมริกาใต้อีกด้วย
ในเรื่องของการเปลี่ยนแปลงถือว่ามีรายละเอียดที่แตกต่างจากรุ่นเดิมอย่างชัดเจน โดยเฉพะตัวถังด้านหน้าออกแบบฝากระโปรงหน้า และกันชนหน้าใหม่เพื่อเพิ่มความสปอร์ต ส่วนกระจังหน้าเปลี่ยนมาเป็นลายตารางเหมือนกับที่ใช้ในเอสยูวีระดับหรูรุ่นมูราโนแทนที่ลายซี่แนวนอน
ด้านท้ายของรุ่นแฮทช์แบ็ก นอกจากกันชนลายใหม่แล้ว ยังเปลี่ยนฝากระโปรงท้ายใหม่ซึ่งออกแบบให้มีสันนูนขึ้นมาตรงช่วงมือเปิดฝากระโปรง สำหรับไฟท้ายยังเป็นทรงหยดน้ำเหมือนเดิม แต่เปลี่ยนลวดลายและตำแหน่งของไฟสัญญาณใหม่ เพิ่มความสดใหม่ได้เป็นอย่างดี
ในห้องโดยสารแม้ว่าชิ้นส่วนหลักอย่างแผงหน้าปัดจะยังเหมือนเดิม แต่ก็มีการเปลี่ยนวัสดุตกแต่งใหม่ทั้งลายไม้ที่ดูสวยขึ้น หรืออยากเลือกแบบสปอร์ตก็มีลายเมทัลลิกให้เลือก เช่นเดียวกับการเปลี่ยนพื้นมาตรวัดทั้ง 3 ดวงให้เป็นพื้นขาวทั้งหมด และมีเพิ่มจอดิจิตอลเพื่อแสดงอัตราความสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิง และสีของมาตรวัดแบบเรืองแสงเปลี่ยนมาเป็นสีส้ม
ใครที่คาดหวังความเปลี่ยนแปลงในเชิงวิศวกรรมคงสมหวัง เพราะนิสสันเปิดเผยว่ามีการปรับจูนระบบพวงมาลัยเพาเวอร์ไฟฟ้าใหม่เพื่อตอบสนองการทำงานที่แม่นยำขึ้นทั้งในช่วงความเร็วต่ำและสูง โดยที่ทางเลือกของเครื่องยนต์ยังเหมือนเดิม คือ 4 สูบ ทวินแคม 16 วาล์ว 1,500 ซีซี 109 แรงม้า ที่ 6,000 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 15.1 กก.-ม. ที่ 4,400 รอบต่อนาที และรุ่น 1,800 ซีซี ในรหัส MR18DE มีกำลังเท่าเดิม 128 แรงม้า ที่ 5,200 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 17.9 กก.-ม. ที่ 4,800 รอบต่อนาที
ในตลาดนอกญี่ปุ่น รวมถึงตลาดเมืองไทยยังมีอีกทางเลือกกับเครื่องยนต์ HR16DE ที่ขยายระยะชักของข้อเหวี่ยงจากรุ่น HR15DE มาเป็น 83.6 มิลลิเมตร เพิ่มความจุเป็น 1,600 ซีซีโดยที่มีแรงม้าเท่ากัน แต่ได้แรงบิดเพิ่มมาอีกนิดจากรุ่น 1,500 ซีซี เป็น15.6 กก.-ม.
รุ่นที่ขายในญี่ปุ่นมีเกียร์ให้เลือกหลากหลายเหมือนเดิมทั้งอัตโนมัติอัตราทดแปรผันต่อเนื่อง หรือ CVTรวมถึงเกียร์อัตโนมัติ 4 จังหวะ โดยที่เฉพาะรุ่น 1,800 ซีซีมีออพชั่นพิเศษให้เลือกสำหรับคนชอบความเร้าใจกับเกียร์ธรรมดา 6 จังหวะ โดยที่ระบบขับเคลื่อนมีทั้งแบบล้อหน้า และ 4 ล้อให้เลือกใช้งานตามความต้องการ
นอกจากนั้นสำหรับลูกค้าที่ต้องการอะไรเป็นพิเศษ ทางนิสสันยังมีการเพิ่มรายการออพชั่นจากโรงงานให้เลือกอีกหลายรายการ แต่ที่น่าสนใจคือ ระบบนำร่องพร้อมกับฮาร์ดดิสก์ขนาด 30 GB ในตัว Plus Navi HDD หรือจะเลือกสปอร์ตกับชุดแต่งของ Nismo ในเวอร์ชัน NISMO S-tune Aero Package และ NISMO S-tune Performance Package เพิ่มทั้งความสวยและสมรรถนะของระบบช่วงล่าง
ในญี่ปุ่นเปิดตัวแล้ว และนิสสันตั้งเป้าทำตลาดสำหรับรุ่นแฮทช์แบ็กเอาไว้ที่ 2,500 คันต่อเดือน ส่วนรุ่นซีดานอยู่ที่ 1,800 คันต่อเดือน ราคาขายในตลาดแดนปลาดิบอยู่ในระดับ 1,323,000-1,827,000 เยน หรือ 397,000-548,000 บาท ส่วนเมืองไทยและตลาดโลกคงรออีกไม่นาน และนิสสันน่าจะเริ่มทยอยปรับโฉมตามอายุตลาดกันในเร็วๆ นี้
ทีด้าเป็นสายพันธุ์ใหม่ของนิสสันที่คลอดออดมาเมื่อปลายปี 2004 เพื่อแทนที่รุ่นพัลซาร์และซันนี่ โดยรุ่นที่ทำตลาดมีทั้งแฮทช์แบ็กและซีดาน 4 ประตูโดยชูดจุดเด่นในเรื่องของความกว้างขวางของห้องโดยสารที่มีระดับเทียบเท่ากับรถยนต์ซีดานระดับหรู
รถยนต์รุ่นนี้มีขายในตลาดทั่วโลกรวมถึงสหรัฐอเมริกาที่ถูกเปลี่ยนมาเป็นเวอร์ซ่า (Versa) ยกเว้นในยุโรปที่ยังไม่มีการเปิดตัวขายนอกจากประเทศไอร์แลนด์เท่านั้น อีกทั้งช่วงปลายปีที่แล้ว นิสสันยังทำสัญญากับทางไครสเลอร์ในการผลิตทีด้าเพื่อส่งให้กับแบรนด์ดังของสหรัฐอเมริกานำไปเปลี่ยนชื่อรุ่นและยี่ห้อเพื่อทำตลาดอเมริกาใต้อีกด้วย
ในเรื่องของการเปลี่ยนแปลงถือว่ามีรายละเอียดที่แตกต่างจากรุ่นเดิมอย่างชัดเจน โดยเฉพะตัวถังด้านหน้าออกแบบฝากระโปรงหน้า และกันชนหน้าใหม่เพื่อเพิ่มความสปอร์ต ส่วนกระจังหน้าเปลี่ยนมาเป็นลายตารางเหมือนกับที่ใช้ในเอสยูวีระดับหรูรุ่นมูราโนแทนที่ลายซี่แนวนอน
ด้านท้ายของรุ่นแฮทช์แบ็ก นอกจากกันชนลายใหม่แล้ว ยังเปลี่ยนฝากระโปรงท้ายใหม่ซึ่งออกแบบให้มีสันนูนขึ้นมาตรงช่วงมือเปิดฝากระโปรง สำหรับไฟท้ายยังเป็นทรงหยดน้ำเหมือนเดิม แต่เปลี่ยนลวดลายและตำแหน่งของไฟสัญญาณใหม่ เพิ่มความสดใหม่ได้เป็นอย่างดี
ในห้องโดยสารแม้ว่าชิ้นส่วนหลักอย่างแผงหน้าปัดจะยังเหมือนเดิม แต่ก็มีการเปลี่ยนวัสดุตกแต่งใหม่ทั้งลายไม้ที่ดูสวยขึ้น หรืออยากเลือกแบบสปอร์ตก็มีลายเมทัลลิกให้เลือก เช่นเดียวกับการเปลี่ยนพื้นมาตรวัดทั้ง 3 ดวงให้เป็นพื้นขาวทั้งหมด และมีเพิ่มจอดิจิตอลเพื่อแสดงอัตราความสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิง และสีของมาตรวัดแบบเรืองแสงเปลี่ยนมาเป็นสีส้ม
ใครที่คาดหวังความเปลี่ยนแปลงในเชิงวิศวกรรมคงสมหวัง เพราะนิสสันเปิดเผยว่ามีการปรับจูนระบบพวงมาลัยเพาเวอร์ไฟฟ้าใหม่เพื่อตอบสนองการทำงานที่แม่นยำขึ้นทั้งในช่วงความเร็วต่ำและสูง โดยที่ทางเลือกของเครื่องยนต์ยังเหมือนเดิม คือ 4 สูบ ทวินแคม 16 วาล์ว 1,500 ซีซี 109 แรงม้า ที่ 6,000 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 15.1 กก.-ม. ที่ 4,400 รอบต่อนาที และรุ่น 1,800 ซีซี ในรหัส MR18DE มีกำลังเท่าเดิม 128 แรงม้า ที่ 5,200 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 17.9 กก.-ม. ที่ 4,800 รอบต่อนาที
ในตลาดนอกญี่ปุ่น รวมถึงตลาดเมืองไทยยังมีอีกทางเลือกกับเครื่องยนต์ HR16DE ที่ขยายระยะชักของข้อเหวี่ยงจากรุ่น HR15DE มาเป็น 83.6 มิลลิเมตร เพิ่มความจุเป็น 1,600 ซีซีโดยที่มีแรงม้าเท่ากัน แต่ได้แรงบิดเพิ่มมาอีกนิดจากรุ่น 1,500 ซีซี เป็น15.6 กก.-ม.
รุ่นที่ขายในญี่ปุ่นมีเกียร์ให้เลือกหลากหลายเหมือนเดิมทั้งอัตโนมัติอัตราทดแปรผันต่อเนื่อง หรือ CVTรวมถึงเกียร์อัตโนมัติ 4 จังหวะ โดยที่เฉพาะรุ่น 1,800 ซีซีมีออพชั่นพิเศษให้เลือกสำหรับคนชอบความเร้าใจกับเกียร์ธรรมดา 6 จังหวะ โดยที่ระบบขับเคลื่อนมีทั้งแบบล้อหน้า และ 4 ล้อให้เลือกใช้งานตามความต้องการ
นอกจากนั้นสำหรับลูกค้าที่ต้องการอะไรเป็นพิเศษ ทางนิสสันยังมีการเพิ่มรายการออพชั่นจากโรงงานให้เลือกอีกหลายรายการ แต่ที่น่าสนใจคือ ระบบนำร่องพร้อมกับฮาร์ดดิสก์ขนาด 30 GB ในตัว Plus Navi HDD หรือจะเลือกสปอร์ตกับชุดแต่งของ Nismo ในเวอร์ชัน NISMO S-tune Aero Package และ NISMO S-tune Performance Package เพิ่มทั้งความสวยและสมรรถนะของระบบช่วงล่าง
ในญี่ปุ่นเปิดตัวแล้ว และนิสสันตั้งเป้าทำตลาดสำหรับรุ่นแฮทช์แบ็กเอาไว้ที่ 2,500 คันต่อเดือน ส่วนรุ่นซีดานอยู่ที่ 1,800 คันต่อเดือน ราคาขายในตลาดแดนปลาดิบอยู่ในระดับ 1,323,000-1,827,000 เยน หรือ 397,000-548,000 บาท ส่วนเมืองไทยและตลาดโลกคงรออีกไม่นาน และนิสสันน่าจะเริ่มทยอยปรับโฉมตามอายุตลาดกันในเร็วๆ นี้