ในที่สุดโครงการรถยนต์เพื่อปวงประชาของตาตา มอเตอร์ หรืออีกนัยหนึ่งคือ รถยนต์ราคาประหยัดที่จะมาดับยานยนต์สำหรับครอบครัวตัวจริงในอินเดียอย่างมอเตอร์ไซค์ ก็ได้ฤกษ์คลอดออกมาแล้ว โดยใช้ชื่อว่า ตาต้า นาโน (Tata Nano) ซี่งนอกจากจะมากับรูปลักษณ์ที่ล้ำสมัยและกะทัดรัดสมกับชื่อแล้ว ยังได้รับการยอมรับว่า ณ วินาทีนี้ได้กลายเป็นรถยนต์ใหม่ป้ายแดงที่มีราคาถูกที่สุดในโลกไปแล้ว
ที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่านาโนมีราคาเพียง 2,500 เหรียญสหรัฐฯ หรือ 82,500 บาทตามอัตราแลกเปลี่ยน 33 บาทต่อ 1 เหรียญสหรัฐฯ ถูกกว่าคู่แข่งอย่าง Bajaj ที่ในตอนนี้ยังไม่เปิดตัว แต่มีข่าวระบุออกมาว่าจะมีราคาอยู่ที่ 3,000 เหรียญสหรัฐฯ หรือ 99,000 บาท ส่วนอีกรุ่นที่ถูกมองว่าเป็นคู่แข่งตัวจริงอย่างมารูติ 800 แม้ว่าจะยังไม่มีการเคาะราคาออกมาและทางผู้บริหารก็กล่าวว่ายังเร็วเกินไปที่จะพูดถึงเรื่องนี้ แต่เชื่อว่าราคาของ 800 จะแพงกว่านาโนเกือบเท่าตัว
โปรเจ็กต์นี้ได้รับการพัฒนามานานหลายปี และเป็นที่รู้จักกันดีในชื่อคือ People’s Car หรือโครงการรถยนต์เพื่อปวงประชา ซึ่งเป็นแนวคิดที่ตาต้าต้องการให้คนอินเดียส่วนใหญ่ละทิ้งพาหนะคู่กายอย่างมอเตอร์ไซค์ที่สามารถบรรทุกทุกคนในครอบครัวแล้วหันมาใช้รถยนต์ 4 ล้อแทนด้วยการผลิตรถยนต์ราคาประหยัดที่มีค่าตัวเริ่มต้นอยู่ในระดับ 100,000 รูปี หรือ 2,500 เหรียญสหรัฐฯ
Ratan Tata ประธานของตาต้า มอเตอร์กล่าวในวันเปิดตัวนาโนว่า ‘นี่ไม่ใช่รถยนต์ต้นแบบหรือรถยนต์ทดลองการผลิตใดๆ ทั้งสิ้น แต่นี่คือรถยนต์ที่พร้อมขายและจะออกจากไลน์ผลิตของโรงงาน Singur ไปยังโชว์รูมต่างๆ ในอินเดียช่วงปลายปีนี้อย่างแน่นอน’
บนตัวถังแฮทช์แบ็ก 5 ประตูที่มีความยาวเกิน 3 เมตรมานิดๆ และกว้างไม่เกิน 1.5 เมตรของนาโน เครื่องยนต์ถูกวางอยู่ทางด้านท้าย และเป็นแบบ 2 สูบที่มีความจุ 623 ซีซี 33 แรงม้า ที่ 5,500 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 4.89 กก.-ม. ที่ 2,500 รอบต่อนาที มีอัตราเร่งจาก 0-70 กิโลเมตรต่อชั่วโมงใน 14 วินาที แต่สามารถแล่นทำความเร็วสูงสุดได้ถึง 104 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ส่วนความประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิงอยู่ที่ 20 กิโลเมตรต่อลิตรสำหรับการขับแบบผสม โดยที่ระบบช่วงล่างหน้าเป็นแบบแม็กเฟอร์สันสตรัท และด้านหลังแบบอิสระ คอยล์สปริง
ตาต้าเปิดเผยว่ากำลังการผลิตของนาโนจะอยู่ที่ 250,000 คันต่อปี และรถยนต์ล็อตแรกพร้อมทำตลาดช่วงปลายปีนี้ ส่วนเรื่องการส่งออกในช่วงแรกจะยังไม่มี เพราะผลิตออกมาขายเฉพาะในอินเดียเท่านั้น แต่ในช่วงตลอด 4 ปีนับจากนี้จะเริ่มทยอยออกสู่ตลาดอย่างอเมริกาใต้, แอฟริกา และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อย่างแน่นอน