เฟรเกรนท์ เจรจาทุนฮ่องกง ญี่ปุ่น จีน เสริมแกร่งการเงิน เทคโนโลยี ลุยเมียนมาร์รับ AEC
นายเจมส์ ดูอัน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เฟรเกรนท์ พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด(มหาชน) เปิดเผยว่า บริษัทอยู่ระหว่างเจรจากับพันธมิตรต่างชาติ ทั้งฮ่องกง ญี่ปุ่น และจีน เพื่อควบรวมกิจการ หรือร่วมลงทุนกันเป็นรายโครงการ ซึ่งบริษัทต้องการความแข็งแกร่งด้านการเงินและเทคโนโลยีที่จะมาต่อยอดการดำเนินธุรกิจ คาดว่าจะมีข้อสรุปในเร็ว ๆ นี้ ซึ่งการเจรจากับพันธมิตร เพื่อรับมือกับภาวะการแข่งขันที่สูงขึ้น และโอกาสที่ใหญ่ขึ้น จากการเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) ซึ่งทำให้มีนักลงทุนเข้ามาพักอาศัยมากขึ้น
นอกจากนี้ ยังกำลังเจรจาเพื่อขอต่ออายุสัมปทานที่ดิน กับรัฐบาลเมียนมาร์ จากปัจจุบันที่มีโครงการอาคารสำนักงานและโรงภาพยนตร์ในเมียนมาร์ 15 ไร่ มีอายุสัมปทานเหลืออยู่ 13 ปี คาดว่าจะต่ออายุไปอีก 70 ปี หากเจรจาสำเร็จ ไตรมาส 2 นี้ จะเริ่มพัฒนาโครงการมิกซ์ยูส มีทั้งอาคารสำนักงาน โรงแรม ห้างสรรพสินค้า มูลค่าโครงการกว่า 15,000 ล้านบาท
ขณะเดียวกัน บริษัทมีแผนที่จะเปิดตัวคอนโดมิเนียมขนาดใหญ่ บนพื้นที่กว่า 7 ไร่ ริมถนนสุขุมวิท มูลค่า 23,000 ล้านบาท ซึ่งจะเป็นคอนโดฯประหยัดพลังงานระดับบน (ไฮเอ็นด์) ราคาขายเริ่มต้นตารางเมตรละ 300,000 บาท เนื่องจากมองว่าเป็นกลุ่มลูกค้าที่มีกำลังซื้อสูง และไม่ค่อยได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจ อีกทั้งเป็นลูกค้าต่างชาติ 49% ซึ่งคาดว่าจะมีนักธุรกิจลงทุนเข้ามาพักอาศัยในเมืองไทยมากขึ้น จากการเปิด AEC
นายเจมส์ กล่าวต่อว่า บริษัทยังคงมุ่งเน้นการพัฒนาคอนโดมิเนียมประหยัดพลังงาน ล่าสุดโครงการ เซอร์เคิล ลิฟวิ่ง โปรโตไทป์ คอนโดมิเนียมที่ได้รับรางวัลจากกระทรวงพลังงานแห่งแรกของประเทศไทย ภายใต้ คอนเซปต์ Green Design ก่อสร้างแล้วเสร็จพร้อมเข้าอยู่โดยเป็นโครงการที่ช่วยลดค่าใช้จ่ายและประหยัดพลังงาน โดยใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัยเพื่อให้ความเป็นอยู่สะดวกสบายขึ้น เช่น ระบบจอดรถอัตโนมัติ ระบบเครื่องกรองน้ำที่ได้มาตรฐาน ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายและเวลาในการขนย้ายขวดน้ำขึ้นคอนโด, Double Glazed Facade กระจก 2 ชั้นช่วยลดความร้อนที่เข้ามาภายในห้อง การใช้เครื่องปรับอากาศที่มีน้ำยาเย็น R32 ช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก นับว่าเป็นสิ่งอำนวยความสะดวกที่สามารถประหยัดทั้งพลังงานและค่าใช้จ่ายได้มาก
“ปีนี้บริษัทตั้งเป้าหมายยอดขายไว้ 5,000 ล้านบาท จากปัจจุบันมียอดขายรอโอน 6,000 ล้านบาท ที่จะทยอยรับรู้รายได้อีก 2-3 ปีข้างหน้า พร้อมทั้งจะเน้นการพัฒนาโครงการไฮเอ็นด์ต่อ เนื่องจากมองว่าภาวะเศรษฐกิจปีนี้เริ่มฟื้นตัวดีขึ้น ทั้งจากการลงทุนภาครัฐ มาตรการกระตุ้นธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ที่สำคัญการเปิดเออีซี ยิ่งทำให้มีทั้งนักท่องเที่ยวและนักธุรกิจเข้ามาในไทยมากขึ้น ยิ่งทำให้ราคาอสังหาฯ ไทยไม่ได้ลดลงเลย โดยเฉพาะคอนโดฯย่านซีบีดี รวมถึงค่าบริการ หรือค่าเช่าศูนย์การค้ายังมีเติบโตดีอยู่ โดยคาดว่าปีนี้ตลาดอสังหาฯ จะเติบโต 3-5% ได้แน่นอน”