เพชรบูรณ์ – ครอบครัว “ครูเกิ้ล” ครูโรงเรียนหล่มสัก เหยื่ออุบัติเหตุรถตู้ติดตรา “กรมส่งเสริมการเกษตร” ชนร่างกระเด็นตกเหวบนเขาพลึงจนเสียชีวิต ระหว่างพา นร.กลับจากแข่งบอลเชียงใหม่..หลั่งน้ำตาเรียกร้องหาความยุติธรรม หลังฌาปนกิจแล้ว หน่วยงานต้นสังกัดรถคู่กรณีปัดรับผิดชอบ โยนผิดให้คนขับ
ความคืบหน้า กรณีเหตุสุดสลด นายคะนอง หรือครูเกิ้ล ทองคำสุก อายุ 53 ปี ครูชำนาญการพิเศษ โรงเรียนหล่มสักวิทยาคม ซึ่งเป็นครูพลศึกษา โค้ชนักกีฬานำเด็กนักเรียนไปแข่งขันฟุตบอลที่ จ.เชียงใหม่ ขณะกำลังพา นร.เดินทางกลับหล่มสัก ด้วยรถรถหกล้อสีขาวมีหลังคาทะเบียน 40-0267 เพชรบูรณ์ ของโรงเรียน เมื่อ 31 ส.ค.63 ที่ผ่านมา แล้วรถเกิดขัดข้องบริเวณปากทางบ้านเขาพลึง ต.ห้วยไร่ อ.เด่นชัย จ.แพร่
ระหว่างที่ครูเกิ้ล ข้ามฝั่งถนนไปโทรศัพท์ประสานงานกับ ผอ.โรงเรียนต้นสังกัด ให้ส่งรถมารับนักเรียน ได้ถูกรถตู้โดยสารทะเบียน ฮล 1288 กรุงเทพมหานคร ซึ่งติดตราสัญลักษณ์ “กรมส่งเสริมการเกษตร” บริเวณประตูรถ เสียหลักหมุน ก่อนพุ่งชนครูเกิ้ล จนร่างกระเด็นตกลงในเหวลึกกว่า 10 เมตร
หลังเกิดเหตุสมาคมกู้ภัยเด่นชัยร่วมบุญ ระดมกำลังเข้าช่วยเหลืออย่างทุลักทุเล ท่ามกลางสภาพภูมิประเทศที่ลาดชันและรกทึบ จนพบร่างครูเกิ้ลเสียชีวิตในร่องน้ำกลางหุบเขา สร้างความสะเทือนใจแก่เจ้าหน้าที่และผู้ที่พบเห็นเป็นอย่างมาก
ล่าสุดนางจตุพร ทองคำสุก อายุ 52 ปี ภรรยาครูเกิ้ลผู้เสียชีวิต ซึ่งอยู่กับลูกชายคนโต คือนายอลงกรณ์ ทองคำสุก อายุ 28 ปี และลูกสาวคนเล็ก น.ส.ขวัญข้าว ทองคำสุก อายุ 15 ปี เปิดเผยทั้งน้ำตาว่า ช่วงแรกหลังเกิดเหตุ มีตัวแทนหน่วยงานทั้ง จ.แพร่ และ จ.เพชรบูรณ์ ติดต่อเข้ามาช่วยเหลือและประสานงาน แต่เราไม่เคยรู้แน่ชัดว่ารถคันที่ชนเป็นของหน่วยงานระดับไหน ใครเป็นผู้มีอำนาจสั่งการ เพราะทุกอย่างคลุมเครือไปหมด
หลังจากเสร็จสิ้นงานศพ ครอบครัวได้เดินทางไป สภ.ห้วยไร่ เพื่อสอบถามความคืบหน้าคดี กลับพบว่า หน่วยงานเจ้าของรถตู้ เปลี่ยนท่าทีทันที โดยปฏิเสธความรับผิดชอบ อ้างว่า..“เป็นความผิดของคนขับ ไม่เกี่ยวข้องกับหน่วยงานเจ้าของรถ”
ครอบครัวผู้เสียชีวิตเผยว่า การสูญเสียครั้งนี้ไม่เพียงพรากเสาหลักของครอบครัว แต่ยังสร้างภาระทางการเงินอย่างหนัก จึง ตัดสินใจเข้าร้องเรียนต่อสื่อมวลชน เพื่อขอความเป็นธรรม พร้อมเรียกร้องให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องตรวจสอบ และขอให้คู่กรณี ออกมารับผิดชอบตามข้อตกลงที่เคยให้ไว้ตั้งแต่แรก
“เราไม่อยากให้เรื่องนี้เงียบหายไป พ่อเขาจากไปแล้วก็ไม่กลับมา แต่ความยุติธรรมยังต้องอยู่” นางจตุพร กล่าวด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ