xs
xsm
sm
md
lg

ผู้ว่าฯ เชียงใหม่ยอมรับแล้วเป็นคนประสานกรมศิลป์บูรณะยักษ์ปูนปั้นวัดอุโมงค์จนเกิดดรามา-ยืนยันทำตามหลักวิชาการ

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



เชียงใหม่ - ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ยอมรับแล้วเป็นคนประสานให้กรมศิลปากรเข้าทำการบูรณะซ่อมแซมยักษ์ปูนปั้นโบราณในวัดอุโมงค์จนถูกวิจารณ์อย่างหนัก ขณะที่กรมศิลปากรยืนยันดำเนินการบูรณะตามหลักวิชาการทุกอย่าง


ความคืบหน้ากรณีอาจารย์คณะวิจิตรศิลป์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ออกมาเปิดเผยว่าประติมากรรมยักษ์ปูนปั้นโบราณศิลปะล้านนาอายุประมาณ 500 ปี ขนาดใหญ่สูงประมาณ 2 เมตร ที่อยู่ในวัดอุโมงค์ สวนพุทธธรรม ตำบลสุเทพ อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ ถูกบูรณะซ่อมแซมอย่างมักง่ายและขาดความรู้ความเข้าใจ รวมทั้งไม่ได้ใส่ใจตระหนักถึงคุณค่าของศิลปะและสมบัติโบราณ ด้วยการพอกปูนทับจนทำให้กลายเป็นของใหม่ ซึ่งแทบไม่ต่างไปจากการทำลายโบราณวัตถุที่ทรงคุณค่า โดยต่อมาทางวัดระบุว่าการดำเนินการซ่อมแซมดังกล่าวมาจากการที่ข้าราชการระดับสูงของจังหวัดเชียงใหม่เข้ามาเที่ยวชมวัด และได้ประสานให้กรมศิลปากรเข้ามาดำเนินการ ซึ่งทางวัดไม่ได้ดำเนินการเองเนื่องจากเป็นโบราณสถาน

วันนี้ (10 มิ.ย. 67) นายนิรัตน์ พงษ์สิทธิถาวร ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ เปิดเผยในเรื่องที่เกิดขึ้นว่า เมื่อราวๆ ต้นเดือนเมษายนปีที่แล้วตนได้มีโอกาสไปไหว้พระที่วัดอุโมงค์ และเดินเที่ยวชมความสวยงามของวัด โบราณสถานภายในวัดแล้วพบเห็นรูปปันยักษ์สองตนนี้ ซึ่งแขนขาดทรุดโทรม และพบเห็นนักท่องเที่ยววิพากษ์วิจารกันว่าทำไมไม่มีคนดูแลรักษาซ่อมแซม ตนจึงได้ประสานไปยังกรมศิลปากร ซึ่งเป็นหน้างานโดยตรงมีความรู้และเชี่ยวชาญด้านโบราณสถาน โบราณวัตถุ ซึ่งหลังแจ้งไปแล้วตนก็ไม่ได้ติดตามรายละเอียด เพราะเชื่อมั่นในการดำเนินการของกรมศิลป์ จนมาเป็นข่าวซึ่งตนก็มั่นใจว่ากรมศิลป์ทำงานถูกต้องที่สุดแล้วเพราะจากแบบก็ทราบว่าทำออกมาเหมือนของเก่าไม่ผิดเพี้ยนเพียงแต่สภาพมันดูใหม่ ผวจ.เชียงใหม่กล่าวในที่สุด


ด้านนายเทอดศักดิ์ เย็นจุระ ผู้อำนวยการกลุ่มอนุรักษ์โบราณสถาน สำนักศิลปากรที่ 7 เชียงใหม่ เปิดเผยว่า ประเด็นดรามาที่ปรากฏตามสื่อต่างๆ มีการนำภาพปูนปั้นยักษ์ฝั่งซ้ายและฝั่งขวา ก่อนและหลังบูรณะซึ่งเป็นคนละตนมาเปรียบเทียบกันจนสังคมเข้าใจผิดว่าบูรณะผิดเพี้ยน หน้าตาและเครื่องประดับไม่เหมือนเดิม และประเด็นที่ระบุว่าผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่สั่งให้สำนักศิลปากรที่ 7 เชียงใหม่เข้าไปบูรณะ

ข้อเท็จจริงคือ ผู้ว่าฯ เดินทางไปสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่วัดอุโมงค์เมื่อเดือนมิถุนายน-กรกฎาคม ปี 2566 และไปพบว่าปูนปั้นยักษ์ที่เฝ้าอยู่บริเวณทางเข้าพระธาตุชำรุดทรุดโทรม จึงประสานให้สำนักศิลปากรที่ 7 เชียงใหม่ เข้าไปสำรวจว่าสามารถบูรณะซ่อมแซมได้หรือไม่ เพราะวัดดังกล่าวมีพุทธศาสนิกชนทั้งชาวไทยและต่างชาติเดินทางมาเยี่ยมเยือนจำนวนมาก เกรงว่าจะส่งผลกระทบด้านจิตใจต่อผู้ที่พบเห็น

ทั้งนี้ หลังส่งเจ้าหน้าที่เข้าไปสำรวจเมื่อเดือนตุลาคม 2566 ก็พบว่าประติมากรรมปูนปั้นยักษ์ทรุดโทรมจริง จึงวางแผนการบูรณะ โดยแบ่งออกเป็น 2 แนวทาง คือ บูรณะโดยการอนุรักษ์รักษาสภาพ หรือบูรณะโดยการฟื้นคืนสภาพ แต่เนื่องจากโบราณสถานแห่งนี้ยังมีการใช้ประโยชน์ในการประกอบศาสนกิจ และหลงเหลือองค์ประกอบของศิลปกรรมค่อนข้างมาก จึงพิจารณาบูรณะโดยการฟื้นคืนสภาพ เพื่อสร้างความมั่นคงแข็งแรงให้โบราณสถานอยู่ได้นานอีกหลายสิบปี เพราะรูปปูนปั้นยักษ์ตั้งอยู่กลางแจ้ง ส่วนพื้นที่วัดตั้งอยู่เชิงดอยสุเทพ มีสภาพป่าดิบชื้น

“ยืนยันว่าการบูรณะเป็นไปตามหลักวิชาการ ไม่ได้ใช้ปูนพอกองค์ยักษ์ แต่ใช้น้ำปูนไล้ผิวบางๆ เพราะผิวเดิมมีความพรุนจนเสื่อมสภาพ เนื้อปูนมีรอยแตกจนน้ำซึมเข้าไป สร้างความเสียหายต่อโครงสร้างด้านในไม่สามารถรักษาสภาพเดิมไว้ได้ รวมทั้งมีเชื้อราดำ และวัชพืชตระกูลตะไคร่น้ำขึ้นเกือบทั้งองค์ หากยังรักษาสภาพเดิมไว้ไม่นานปูนปั้นยักษ์ก็จะชำรุดทรุดโทรมเพิ่ม โบราณสถานก็เหมือนคนป่วย แนวคิดง่ายๆ หากเราเป็นหมอมีทางรักษาให้กลับมาแข็งแรงสมบูรณ์ได้อีกครั้ง ผมก็จะเลือกแนวทางนี้ในการบูรณะ” นายเทอดศักดิ์กล่าว


นายเทอดศักดิ์กล่าวต่อไปถึงวิธีการบูรณะว่า ไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงสถาปัตยกรรม หรือศิลปกรรมดังกล่าวแต่อย่างใด ตามคติความเชื่อประติมากรรมปูนปั้นยักษ์แบบลอยตัวทวารบาล เฝ้ารักษาประตูทางเข้าสู่พระธาตุวัดอุโมงค์ เพื่อปกปักรักษาคุ้มครองและมีอาวุธประจำกายถือไว้ เช่น กระบอง จึงสันนิษฐานรูปแบบองค์ยักษ์ที่นั่งเฝ้าประตูทางเข้าสู่พระธาตุตามหลักฐาน และปั้นเสริมให้เต็มเพื่อให้องค์ยักษ์มีความสมบูรณ์ตามรูปแบบสถาปัตยกรรมเดิมตามคติความเชื่อ

สำหรับรูปแบบสถาปัตยกรรมเป็นงานปูนปั้นที่ใช้วัสดุก่ออิฐถือปูนเป็นโครงสร้างหลัก รูปแบบทางศิลปกรรมแบบพม่า-ไทใหญ่ พบเห็นรูปแบบนี้ได้ในอาคาร หรือสิ่งก่อสร้างที่ร่วมสมัยกัน ซึ่งประติมากรรมแบบลอยตัวรูปยักษ์สองตนนี้มีความครบถ้วนขององค์ประกอบทางศิลปกรรมหลงเหลืออยู่มากกว่า 80% การบูรณะลวดลายจึงลอกจากลายเดิมขึ้นมา มีการไล้ปูนบางๆ บนผิวเพื่อป้องกันไม่ให้น้ำซึมเข้าไปสร้างความเสียหายให้โครงสร้างด้านในอีก

นายเทอดศักดิ์กล่าวต่อว่า การบูรณะองค์ยักษ์ทั้ง 2 ตนแล้วเสร็จเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2566 ต้องใช้เวลาอีกสักระยะหนึ่งองค์ยักษ์จะค่อยๆ เก่าไปตามธรรมชาติ เพราะเราไม่ได้เคลือบสารกันเชื้อราไว้ ไม่อยากเสี่ยงใช้สารเคมีในการบูรณะเนื่องจากยังไม่มีผลสรุป หรือเคสตัวอย่างว่าการใช้สารเคมีในการบูรณะจะไม่ส่งผลกระทบระยะยาว จึงเลือกใช้วิธีการบูรณะแบบโบราณ แนวทางการอนุรักษ์ประเภทนี้มีตัวอย่างให้เห็นมาแล้วในอดีต เช่น การบูรณะภาชนะวัดศรีชุม จังหวัดสุโขทัย ซึ่งช่วงแรกๆ ก็มีกระแสดรามาเกิดขึ้น

ทั้งนี้ จากการสันนิษฐาน ประติมากรรมปูนปั้นยักษ์ที่เฝ้ารักษาประตูทางเข้าสู่พระธาตุวัดอุโมงค์มีรูปแบบศิลปกรรมออกไปทางพม่า-ไทใหญ่ อาจได้รับอิทธิพลมาจากการที่บริษัทค้าไม้ของต่างชาติในอดีตเข้ามารับสัมปทานค้าไม้ในจังหวัดภาคเหนือเมื่อ 100 กว่าปีก่อน และนำช่างชาวพม่าเข้ามาด้วย จึงมีการผ่องถ่ายฝีมือเชิงช่าง และรูปแบบสถาปัตยกรรมของพม่า-ไทใหญ่ในจังหวัดภาคเหนือตอนบนเยอะ โดยเฉพาะจังหวัดลำปางจะเห็นรูปปูนปั้นยักษ์เฝ้าหน้าประตูวัดเยอะ แต่หากเป็นล้านนาแท้ๆ ส่วนใหญ่เป็นรูปปั้นสิงห์ หรือมอม

เบื้องต้นคาดว่าประติมากรรมปูนปั้นยักษ์มีอายุประมาณ 100 กว่าปี ไม่ถึง 400 ปี ขณะที่วัดอุโมงค์ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถานโดยผังตั้งแต่ปี 2478 จึงต้องประเมินอีกครั้งว่าสิ่งก่อสร้างที่อยู่ในผังตามแนวเขตที่มีการขึ้นทะเบียนไว้ มีสิ่งก่อสร้าง หรือสถาปัตยกรรมใดเป็นโบราณสถาน และสิ่งก่อสร้าง หรือสถาปัตยกรรมใดสร้างขึ้นใหม่ภายหลัง




กำลังโหลดความคิดเห็น