ระยอง - ผู้ช่วย ผบ.ตร. ติดตามความคืบหน้าการดำเนินคดีเจ้าของโรงงานเก็บกากสารเคมีไฟไหม้วินโพรเสส ระยอง พบหลักฐานใหม่ลอบฝังอะลูมิเนียมดรอส 5 จุด หลังนำแบ็กโฮสุ่มตรวจค่าดินหาสารเคมีปนเปื้อน เตรียมแจ้งความเอาผิดเพิ่ม เผยดำเนินคดีทุกคนที่เกี่ยวข้องจนอาจถึงขั้นยึดทรัพย์
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลา 16.00 น. วันนี้ (3 มิ.ย.) พล.ต.ท.ธัชชัย ปิตะนีละบุตร ผู้ช่วย ผบ.ตร. ได้เดินทางลงพื้นที่ อ.บ้านค่าย จ.ระยอง เพื่อติดตามความคืบหน้าการดำเนินคดีกับเจ้าของโรงงานเก็บกากสารเคมีวินโพรเสส ม.4 ต.บางบุตร ซึ่งถูกไฟไหม้เมื่อวันที่ 22 เม.ย.ที่ผ่านมา จนส่งผลให้มีชาวบ้านจำนวนมากได้รับผลกระทบทางร่างกายจากการสูดดมสารเคมี และบางรายมีอาการรุนแรงถึงขึ้นไตเสื่อมระยะ 3
โดย พล.ต.ท.ธัชชัย เผยว่า เมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมาตนและคณะได้เดินทางไปตรวจสอบโรงงานเก็บสารเคมีวัตถุอันตรายใน อ.อุทัย และ อ.ภาชี จ.พระนครศรีอยุธยา ภายหลังโรงงานเกิดเหตุเพลิงไหม้เช่นเดียวกับโรงงานใน จ.ระยอง และได้การออกหมายจับ นายโอภาส บุญจันทร์ เจ้าของโรงงาน ซึ่งเป็นผู้ต้องสงสัยว่าเป็นผู้ดำเนินการในเรื่องทั้งหมด และที่ผ่านมาได้ออกหมายจับไปแล้วจำนวน 3 หมาย
และหมายจับสุดท้ายอยู่ที่ สภ.บ้านค่าย ซึ่ง ตำรวจได้คัดค้านการประกันตัวต่อศาลจังหวัดระยอง เนื่องจากเป็นคดีที่ส่งผลกระทบต่อประชาชนในวงกว้าง และเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ขยายผลตรวจสอบโรงงางานต่างๆ ที่มีการดำเนินงานเกี่ยวข้องกับโรงงานวินโพรเสส ใน อ.บ้านค่าย จ.ระยอง ประกอบด้วยโรงงานใน จ.นครราชสีมา เพชรบูรณ์ อยุธยา นนทบุรี และ จ.ชลบุรี
“ทั้งหมดได้มีการสืบสวนขยายผลใน 2 ส่วน คือในเรื่องกฎหมายสิ่งแวดล้อม และคดีอาญา รวมทั้งคดีเพลิงไหม้ที่ อ.ภาชี และที่ อ.บ้านค่าย จ.ระยอง ซึ่งเชื่อว่าเป็นการกระทำโดยเจตนาวางเพลิง หรือเป็นเหตุความประมาท แต่สิ่งที่พบคือ ผู้ต้องสงสัยได้มีการเอากากสารพิษที่ไปประมูลมา โดยไม่ได้มีเจตนากำจัดสารพิษ และใช้วิธีเช่าโรงงานในพื้นที่ต่างๆ เพื่อนำสารพิษไปทิ้งทั้งในพื้นที่โรงงานที่เช่า และทิ้งในพื้นที่ป่าสงวน รวมทั้งพื้นที่สาธารณะ ซึ่งสารพิษเหล่านี้มีความเป็นอันตรายมากและอาจส่งผลให้ถึงตายได้”
พล.ต.ท.ธัชชัย ยังเผยอีกว่าที่ผ่านมา นายกรัฐมนตรี ได้สั่งการให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เร่งดำเนินการเรื่องดังกล่าวอย่างรวดเร็วและโปร่งใส โดยให้ดำเนินคดีผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งหมด ไม่เว้นแม้กระทั่งเจ้าหน้าที่รัฐที่เข้าไปเกี่ยวข้อง เช่นเดียวกับ รรก.ผบ.ตร. ที่ได้มอบหมายให้ตนเข้าดูแล เนื่องจากมีส่วนเกี่ยวข้องในหลายพื้นที่
“ส่วนความคืบหน้าในการดำเนินคดีนั้น ขณะนี้ตำรวจทุกหน่วยทั้งใน จ.ระยอง อยุธยา นครราชสีมา เพชรบูรณ์ และตำรวจ ปดส. กำลังเร่งรัดสืบสวนขยายผลเพื่อให้ปรากฏข้อเท็จจริง เบื้องต้น ได้มีการแจ้งข้อหาและหลายคน รวมทั้งออกหมายจับผู้เกี่ยวข้องที่หลบหนีไปแล้ว ซึ่งคนที่หลบหนีอยู่จะไม่เป็นประเด็นในการส่งฟ้องเพราะมีพยานหลักฐานเพียงพอจะสั่งฟ้องได้”
และในวันนี้จะมีการแจ้งข้อเพิ่มต่อนายโอภาส บุญจันทร์ หลังเจ้าหน้าที่ได้พบหลักฐานใหม่ที่เกิดขึ้นภายหลังและจะดำเนินคดีผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งหมดไม่ว่าจะเป็นทั้งในเรื่องของการได้มาซึ่งสารเคมี การครอบครอง การออกใบอนุญาต การขนส่ง หรือการเอาสารเคมีลงในดินที่สาธารณะ ซึ่งตำรวจจะดำเนินคดีทั้งในเรื่องกฎหมายสิ่งแวดล้อม และกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับอาญา
เช่นเดียวกับโรงงานที่ อ.ภาชี จ.พระนครศรีอยุธยา ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจได้พบพยานหลักฐานใหม่เช่นกัน และขณะนี้อยู่ระหว่างดำเนินการโดยมีเจ้าหน้ากรมโรงงานอุตสาหกรรมเข้าร้องทุกข์กล่าวโทษ
"ส่วนความคืบหน้าเหตุเพลิงไหม้ทั้ง 2 แห่งที่ จ.ระยอง และอยุธยานั้นขณะนี้อยู่ระหว่างการสืบสวนขยายผล และได้มีการลงพื้นที่เก็บหลักฐาน พร้อมทั้งนำผู้ที่เกี่ยวข้องมาสอบปากคำซึ่งเป็นประโยชน์อย่างมาก รวมทั้งกรมโรงงานจะมาให้ข้อมูลเกี่ยวสารเคมี เพื่อประกอบสำนวนคดีให้ครบถ้วน และยังจะใช้กฎหมายฟอกเงินเข้ามาดำเนินคดีอีกด้วย และหากมีความผิดเข้าข่ายยึดทรัพย์ ก็จะดำเนินการทันที ป้องกันผู้ต้องหาโยกย้ายทรัพย์สินหนี" พล.ต.ท.ธัชชัย กล่าว
ด้าน นายโกเมน ผิวพุ่ม นักวิเคราะห์นโยบายและแผนชำนาญการพิเศษ สำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัดระยอง ที่ได้นำเจ้าหน้าที่จากกรมโรงงานอุตสาหกรรม นำรถแบ็กโฮขุดตักดินภายในโรงงาน ซึ่งเป็นการสุ่มตรวจ 6 จุด ตามที่ได้รับแจ้งจากชาวบ้านว่าระหว่างปี 2556-2563 โรงงานดังกล่าวได้ทำการขุดบ่อขนาดใหญ่ กว้างประมาณ 10 คูณ 20 เมตร จำนวน 3 บ่อเพื่อนำการสารเคมีเทลงจนเต็มบ่อก่อนจะทำการถมด้วยดินจนไม่เหลือเค้าโครงเดิม
และเมื่อนำรถแบ็กโฮขุดดินเพื่อนำไปตรวจสอบหารสารเคมีปนเปื้อน พบว่ามีากอะลูมิเนียมดรอส ถูกฝังในดินจำนวน 5 จุด หลังได้ทำการขุดดินลึกลงไปเพียง 1 เมตรจาก 4 เมตร ซึ่งถือว่าเป็นหลักฐานใหม่ที่เจ้าหน้าที่สามารถแจ้งความดำเนินคดีเพิ่มเติมกับเจ้าของโรงงานดังกล่าวได้