กาญจนบุรี - ส.ส.เมืองกาญจน์เดินหน้าผลักดันเพิกถอน พ.ร.ฎ.2481 ที่ดินสงวนหวงห้าม 3.5 ล้านไร่ ส่วนที่ประชาชนถือครอง ดันออกโฉนด หวัดกระตุ้นเศรษฐกิจเพื่อชาวเมืองกาญจน์ที่ถือครองจะสามารถทำธุรกรรมการเงินกับธนาคารได้
นายศักดิ์ดา วิเชียรศิลป์ ส.ส.กาญจนบุรี พรรคเพื่อไทย เปิดเผยว่า เรื่องที่ดินเป็นปัญหาใหญ่สำหรับชาวจังหวัดกาญจนบุรีมาเนิ่นนาน เพราะเมื่อ พ.ศ.2481 ได้มีการประกาศพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตหวงห้าม ครอบคลุมพื้นที่ 3.5 ล้านไร่เศษ แยกเป็นจังหวัดกาญจนบุรีประมาณ 3 ล้านไร่ และ อ.สวนผึ้ง อ.จอมบึง จ.ราชบุรี ประมาณ 5 แสนไร่ การประกาศของรัฐบาลในสมัยนั้นนั้นอย่าลืมว่าประเทศไทยของเรามีประชากรอยู่แค่ 5-6 ล้านคน ไม่ถึง 10 ล้านคนด้วยซ้ำ
โดยจุดประสงค์ของการประกาศพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตหวงห้าม 2481 เพื่อต้องการสงวนไม้ไผ่เพียงชนิดเดียวเอาไว้ป้อนเข้าสู่โรงงานกระดาษในจังหวัดกาญจนบุรีเท่านั้น เพราะรัฐบาลกลัวว่าไม้ไผ่จะหมดไป จึงประกาศครอบคลุมพื้นที่ 3.5 ล้านไร่ ให้เป็นพื้นที่สงวนหวงห้ามเพื่อที่จะตัดไม้ไผ่มาเป็นวัตถุดิบในการผลิตเยื่อกระดาษ
เมื่อนับย้อนเวลากลับไปเป็นเวลาไม่ต่ำกว่า 50-60 ปี ที่โรงงานกระดาษแห่งนี้ได้ปิดตัวลง นั่นแสดงว่าที่ดิน 3.5 ล้านไร่ หมดวัตถุประสงค์ลงแล้ว และที่สำคัญจำนวนประชากรในอดีตกับปัจจุบันเปลี่ยนไปมาก จากที่เคยมีประชากรไม่ถึง 10 ล้านคน กลายเป็นเกือบ 70 ล้านคน เพิ่มขึ้นเป็น 10 เท่าของจำนวนประชากรที่เคยมีในปี พ.ศ.2481 ผ่านมา 86 ปี พระราชกฤษฎีกายังคงอยู่เช่นเดิม
"จึงมองว่าอะไรที่มันเก่าควรจะต้องมีการแก้ไขเปลี่ยนแปลงให้เข้ากับยุคสมัย ยกตัวอย่างง่ายๆ เช่น บ้านหรือรถยนต์ที่เรามีหากชำรุดทรุดโทรมเพราะถูกใช้มานานหลายปีต้องมีซ่อมแซมแก้ไขให้ใช้การได้ดีขึ้น เสื้อผ้าเก่าที่ขาดแล้วก็ต้องซื้อใหม่ ทรงผมที่ตัดก็มีการเปลี่ยนไปเรื่อยตามรสนิยมของแต่ละคนเพื่อให้เข้ากับยุคสมัยนั้นๆ ที่ดินตามพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตหวงห้าม 2481 ในพื้นที่จังหวัดกาญจนบุรี และราชบุรี จำนวน 3.5 ล้านไร่ ก็เช่นกัน ควรมีการเพิกถอนแก้ไขข้อกฎหมายที่ถูกบังคับใช้มานานถึง 86 ปีได้แล้ว" นายศักดิ์ดา กล่าว
นายศักดิ์ดา เผยอีกว่า การแก้ไขหรือการพิจารณาเพิกถอนพระราชกฤษฎีกาใช่ว่าจะเรียกร้องให้เพิกถอนเลยทั้ง 3.5 ล้านไร่ ตนเคยรับราชการทั้งกรมป่าไม้และกรมอุทยานฯ จนกระทั่งเกษียณอายุราชการในตำแหน่งสุดท้ายคือ อธิบดีกรมทรัพยากรน้ำบาดาล ก่อนจะได้รับความไว้วางใจจากราษฎรเลือกให้เข้ามาดำรงตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จึงขอเรียกร้องผ่านกระทรวงการคลังไปถึงอธิบดีกรมธนารักษ์ ว่า ที่ดินตามพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตหวงห้าม พ.ศ.2481 เนื้อที่ 3.5 ล้านไร่ ต้องแยกออกเป็น 3 ส่วน
ส่วนที่ 1 ที่ดินที่หน่วยงานส่วนราชการขอใช้ประโยชน์จากกรมธนารักษ์ โดยเฉพาะพื้นที่ที่ทหารขอใช้ประโยชน์ในการฝึกยุทธวิธีทางทหาร รวมทั้งหน่วยงานราชการอื่นๆ ขอใช้พื้นที่ในการปลูกสร้างอาคารสถานที่ทางราชการ เช่น ที่ว่าการอำเภอ หรือแม้กระทั่งศาลากลางจังหวัดกาญจนบุรี เป็นต้น
พื้นที่ส่วนที่ 2 คือ พื้นที่ที่เป็นภูเขาและป่าไม้ที่มีสายน้ำ ลำธาร จนกลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติ เป็นแหล่งต้นน้ำลำธารที่สำคัญ เป็นที่อยู่อาศัยของสัตว์ป่านานาชนิด พื้นที่ทั้งสองส่วน คือส่วนที่ 1 และ 2 สมควรและเหมาะสมที่จะสงวนหวงห้ามเอาไว้ให้เป็นทรัพยากรของชาติ ยกเว้นพื้นที่ที่หน่วยงานราชการไม่ใช้ประโยชน์แล้ว ควรส่งมอบคืนให้กรมธนารักษ์ เพื่อนำไปจัดสรรให้ประชาชนที่ไม่มีที่ดินรายใหม่ได้เช่าสร้างที่อยู่อาศัยและทำมาหากินต่อไปในอนาคต ซึ่งจะทำให้กรมธนารักษ์มีรายได้จากการเช่าจากผู้เช่ารายใหม่
สุดท้ายพื้นที่ในส่วนที่ 3 ซึ่งเป็นพื้นที่ในส่วนที่สำคัญต่อประชาชนเป็นอย่างมาก คือพื้นที่ที่ราษฎรถือครองทำมาหากินมาอย่างยาวนานหลายชั่วอายุคน บางรายอาจจะอยู่ก่อนที่จะมีการประกาศเป็นเขตสงวนหวงห้ามตามพระราชกฤษฎีกา พ.ศ.2481 เพื่อนำไม้ไผ่ป้อนเข้าโรงงานกระดาษด้วยซ้ำไป ซึ่งพื้นที่ส่วนนี้ควรจะเพิกถอนหรือยกเลิกพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตหวงห้าม พ.ศ.2481 แล้วพิจารณาออกเอกสารสิทธิเป็นโฉนดให้ประชาชน เพื่อที่ประชาชนจะได้นำที่ดินไปทำธุรกรรมทางด้านการเงินกับธนาคารเพื่อนำเงินมาลงทุนโดยไม่มีปัญหาอีกต่อไป
ที่ผ่านมา ตนพยายามเรียกร้องพยายามหาวิธีว่าจะทำอย่างไรกับที่ดินที่ประชาชนถือครองอยู่นั้นจะถูกเพิกถอนออกจากพระราชกฤษฎีกา 2481 ไม่ได้ตำหนิหรือกล่าวโทษอธิบดีกรมธนารักษ์ เพราะเคยพูดไปแล้วว่าคนที่เป็นข้าราชการหรือเป็นอธิบดีต้องรักษากฎหมายหรือระเบียบที่เขามีอยู่ อธิบดีกรมธนารักษ์พูดได้แค่เพียงว่าเขามีระเบียบให้เช่า ก็มาเช่า ซึ่งพูดได้แค่นี้จริงๆ
แต่อย่างไรก็ตาม ในฐานะที่ตนจะพยายามทำทุกวิถีทางให้เกิดการเพิกถอนพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตหวงห้าม 2481 ในพื้นที่ส่วนที่ 3 ที่ประชาชนถือครองอยู่ให้ได้ ขณะนี้กำลังศึกษาและให้นักกฎหมายดูขั้นตอนอยู่ว่ามีวิธีใดบ้างที่สามารถนำเข้าไปถกปัญหาใน ครม.ได้ หรือจะเสนอเพิกถอนโดยฝ่ายรัฐบาลหรือฝ่ายใด เพื่อให้เกิดการพิจารณาเพิกถอนที่ราชพัสดุ เฉพาะส่วนที่ประชาชนถือครองและทำประโยชน์อยู่ จึงขอเอาใจช่วยและจะผลักดันเพื่อให้ประชาชนมีความมั่นคงทางเศรษฐกิจให้ได้