กำแพงเพชร - ลุงวัย 60 ปีป่วยมาหลายเดือนหลังออกจาก รพ.มาพักฟื้นที่บ้านอาการทรุดหนัก-ญาติแห่มาเฝ้า ตกกลางคืนนกแสกร้องบนหลังคาบ้าน รุ่งขึ้นสิ้นลมแน่นิ่งไปเกือบชั่วโมง จู่ๆ สะดุ้งฟื้นคืนชีพ แถมบอกเจอคนข้างบ้านที่ตายไปแล้วเพียบ ซ้ำอาการป่วยดีขึ้นหน้าตาสดใสเฉย
หลังได้รับการบอกเล่าจากญาติพี่น้องรวมไปถึงนางสาววัชรา พลเข้ม ซึ่งเป็นบุตรสาว ว่านายชาญชัย พลเข้ม อายุ 60 ปี อยู่บ้านเลขที่ 4/3 ม.13 ต.ไตรตรึงษ์ อ.เมือง จ.กำแพงเพชร ป่วยหลายโรค ที่ผ่านมามีแต่ทรงกับทรุด
ก่อนหน้านี้ได้เข้ารักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลกำแพงเพชรเป็นเวลาหลายวัน แต่อาการยังไม่ดีขึ้นสักเท่าไหร่ ญาติได้นำนายชาญชัยกลับมารักษาตัวพักฟื้นอยู่ที่บ้านเมื่อประมาณ 1 สัปดาห์ที่ผ่านมา โดยแพทย์ได้จัดยาต่างๆ ให้รับประทาน แต่อาการป่วยของนายชาญชัยก็ยังไม่ดีขึ้น
ญาติได้เปิดเผยว่าอาการของนายชาญชัยมีแต่ทรุดกับทรุด ครั้นจะนำตัวไปรักษาที่ รพ.อีกครั้งแต่นายชาญชัยกลับปฏิเสธที่จะไปรักษา และยังกล่าวกับทางญาติๆ รวมถึงลูกๆ ว่าหากจะต้องเสียชีวิตก็ขอเสียชีวิตอยู่ที่บ้าน จนกระทั่งเมื่อวันที่ 23 มกราคมที่ผ่านมาอาการป่วยของนายชาญชัยทรุดหนักจนญาติพี่น้องที่อยู่ต่างจังหวัดและในพื้นที่จังหวัดกำแพงเพชรต่างมาคอยเฝ้าดูใจ เกรงว่าจะเสียชีวิตไปเสียก่อน
ซึ่งในช่วงกลางดึกคืนนั้น นางสาววัชราลูกสาวของนายชาญชัย และญาติๆ ทุกคนที่มาเฝ้าต่างได้ยินเสียงนกแสกร้องอยู่เป็นระยะๆ บนหลังคาบ้าน ก็พากันวิพากษ์วิจารณ์กันถึงคำโบราณที่ว่าบ้านใดมีนกแสกบินมาส่งเสียงร้อง บ้านหลังนั้นหรือละแวกนั้นจะมีคนตายเกิดขึ้นอย่างแน่นอน ซึ่งญาติและลูกๆ ของนายชาญชัยก็ได้แต่ทำใจ เรื่อยมาเพราะว่านายชาญชัยมีอาการป่วยหนักมาหลายเดือนแล้ว
รุ่งขึ้น (24 ม.ค. 67) ช่วงเวลาประมาณ 09.00 น. ระหว่างที่ญาติกำลังนั่งคุยกันในบริเวณบ้าน ปรากฏว่านายชาญชัยมีอาการดิ้นทุรนทุรายหายใจไม่ออก ตาค้างเป็นช่วงๆ มือเท้าอ่อนระทวย ร่างกายเหลืองซีด ซึ่งทางญาติได้เข้าประคองร่างเอาไว้และเรียกชื่อของนายชาญชัยไว้ตลอดเวลา และสังเกตเห็นว่านายชาญชัย มีอาการหายใจแผ่วลงทุกขณะจนสิ้นลมไป
ณ ตอนนั้นญาติพี่น้องที่มาเฝ้าดูอาการอยู่นั้นต่างพากันเศร้าโศกเสียใจ ร้องไห้ดังระงมไปทั่วบริเวณ และได้พากันจัดเตรียมเสื้อผ้าและดอกไม้ธูปเทียนเอาไว้เพื่อที่จะทำพิธีกรรมตามโบราณที่ปฏิบัติสืบทอดต่อกันมา
อย่างไรก็ตาม เวลาผ่านไปเกือบ 1 ชั่วโมงเป็นช่วงเวลาที่นางสาววัชรา บุตรสาวเดินทางกลับจากขายของตามหมู่บ้าน และญาติได้แจ้งเรื่องราวที่เกิดขึ้นให้ฟัง ก็ผวาเข้าไปกอดและเขย่าตัวผู้เป็นพ่อบนที่นอนจากนั้นร่างของนายชาญชัยจึงค่อยๆ ลืมตาฟื้นคืนชีพขึ้นมา ซึ่งเหตุการณ์ดังกล่าวได้สร้างความงุนงงสงสัยให้ลูกๆ และภรรยา ตลอดจนบรรดาญาติของนายชาญชัยเป็นอย่างมาก
ผ่านไปสักครู่เมื่อนายชาญชัยได้สติกลับคืนมา ต่างสอบถามนายชาญชัยว่าในช่วงเวลาที่แน่นิ่งไปมีความรู้สึกอย่างไร นายชาญชัยกล่าวว่าตนได้เดินออกจากบ้านไปตามทางเหมือนไม่ได้เจ็บป่วยอะไรเลย และไปเจอกับนายเขียว สำลีดี ซึ่งเสียชีวิตไปแล้วกว่า 2 ปีโดยมีบ้านอยู่ตรงข้ามประตูทางออกของบ้านตน กำลังนั่งดื่มสุราอยู่บริเวณหน้าบ้าน ซึ่งตนได้ตะโกนและขอร่วมดื่มสุราด้วยแต่อีกฝ่ายปฏิเสธไม่ให้ดื่ม ซึ่งตอนนั้นตนรู้สึกโมโหจากนั้นจึงเดินกลับเข้ามายังบ้าน และได้กล่าวอีกว่าหากตนไปนั่งดื่มด้วยคงไม่ได้กลับมาอีกอย่างแน่นอน
นอกจากนี้ยังได้เจอกับนางจำปี โสภา ซึ่งมีศักดิ์เป็นน้องเมียของตนที่เสียชีวิตไปแล้วกว่า 1 ปีเดินวนเวียนอยู่บริเวณประตูทางเข้าตัวบ้าน โดยทุกวันนี้บ้านหลังดังกล่าว (สีชมพู) ได้ปล่อยร้างไว้ ไม่มีใครอาศัยอยู่เลย ซึ่งตนก็ทักไปแต่ไม่ได้รับคำตอบอะไรกลับมา นายชาญชัยยังกล่าวต่ออีกว่าตนเจอคนที่เสียชีวิตไปแล้ว ซึ่งเป็นชาวบ้านอยู่ในละแวกใกล้เคียงกันหลายคน
ทั้งนี้หลังได้ยินได้ฟังนายชาญชัยเล่า บรรดาญาติๆ ก็ขนลุกขนพองไปตามๆ กัน และพาสรุปว่าช่วงเวลาประมาณเกือบ 1 ชั่วโมงนั้นนายชาญชัยได้เสียชีวิตไปจริงๆแต่อาจเป็นเพราะว่าดวงชะตาของนายชาญชัยยังไม่ถึงฆาตนั่นเองจึงได้ฟื้นคืนชีพขึ้นมาอีกครั้ง
วันต่อมาหลังจากนายชาญชัยได้ฟื้นคืนชีพมาเช่นเดิม ชาวบ้านหลายคนรวมทั้งญาติๆ ต่างพากันสงสัยว่าหน้าตาของนายชาญชัยดูมีท่าทีสดใสขึ้นในรอบหลายเดือนที่ผ่านมา เป็นที่น่าอัศจรรย์อย่างเห็นได้ชัด จากกินข้าวไม่ได้เลยก็กินข้าวได้ จากนั่งไม่ได้ก็นั่งบนโซฟาได้ การพูดจารู้เรื่องมากขึ้น และจะต้องใส่ท่อออกซิเจนบ่อยครั้งกลับไม่ต้องใช้ออกซิเจนแล้ว ซึ่งเรื่องดังกล่าวทำให้ญาติสงสัยในประเด็นนี้มาก ได้พูดกันว่าคงจะต้องไปหาผู้มีวิชาอาคม หรือหมอดู มาไขข้อสงสัยอีกครั้ง ในระหว่างนี้ก็ต้องคงรักษาอาการป่วยของนายชาญชัยอยู่ที่บ้านไปตามอาการก่อน