ปีที่ผ่านมา DSI หรือกรมสอบสวนคดีพิเศษแข็งขันจริงจังกับคดีหมูเถื่อนอย่างมาก จนคนทั่วประเทศหันมาสนใจกลายเป็นปัญหาระดับชาติที่นายกรัฐมนตรีเศรษฐา ทวีสิน ลงมาติดตามด้วยตนเอง แต่แล้วปีนี้ จู่ๆ DSI ก็เบนความสนใจไปทำคดี “ตีนไก่เถื่อน” จนดูเหมือนจะละเลยให้คดี 161 ตู้หมูเถื่อน (คดีพิเศษที่ 59/2566) ต้องสะดุดหยุดชะงักไปเฉยๆ จากผู้ต้องหาที่ลักลอบนำเข้าหมูเถื่อนในคดีดังกล่าวมีทั้งหมด 18 บริษัท แต่มีการออกหมายจับเพียง 10 บริษัท ขณะที่อีก 8 บริษัทที่เหลือยังไม่มีการเรียกผู้เกี่ยวข้องเข้ามาสอบสวน จนทำให้หลายฝ่ายรู้สึกว่า DSI กำลังเล่นเกมบังหน้าด้วยตีนไก่ ทั้งที่หลักฐานยังไม่แน่นหนาพอ เพื่อเบี่ยงเบนความสนใจ และฉวยโอกาสเก็บคดีหมูเถื่อนเข้าแฟ้ม…ใช่หรือไม่?
คดีหมูเถื่อน 161 ตู้ว่าไม่คืบหน้าแล้ว คดี 2,385 ใบขน (คดีพิเศษที่ 126/2566) ยิ่งแล้วใหญ่ เพราะ DSI ทำได้เพียงออกเลขที่รับรองคดีเท่านั้น ยังไม่มีการเรียกเจ้าหน้าที่กรมศุลกากร หรือสายการเดินเรือเข้ามาสอบสวนแม้แต่รายเดียว ทั้งยังไม่มีความต่อเนื่องในการติดตามตู้สินค้าที่ขนออกไปจากท่าเรือแล้ว ไม่เช่นนั้นป่านนี้คงต้องมีข้อมูลแล้วว่า 2,385 ใบขนนั้น ขนหมูเถื่อนเข้ามาทั้งหมดกี่ตู้คอนเทนเนอร์ และส่งไปแช่เย็นไว้ ณ ห้องเย็นแห่งใด คดีนี้นับเป็นคดีที่ความผิดสำเร็จแล้วกระจายหมูเถื่อนออกสู่ตลาดแล้ว ซึ่งสามารถตามยึดทรัพย์ผู้บงการได้มหาศาล เหตุใดจึงชะลอการสืบสวนสอบสวน
อุปนายกสมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติถึงกับแสดงความกังวลในประเด็นนี้อย่างชัดเจนว่า DSI ทำคดี “หมูเถื่อน” แผ่วลงโดยระบุว่า “เกษตรกรหวั่นคดีหมูเถื่อนจะแผ่ว เมื่อพนักงานสอบสวนไปทำเรื่องตีนไก่และเนื้อวัวเถื่อน หากคดีที่เพิ่มขึ้นมาเกี่ยวพันกับคดีหมูเถื่อนก็ควรทำ แต่หากไม่เกี่ยวข้องก็ควรเร่งรัดคดีหมูเถื่อนให้จบ อีกทั้งควรแจ้งความคืบหน้าของคดีว่า ไปถึงไหนและจะเสร็จสิ้นประมาณเมื่อไร เนื่องจากผู้เลี้ยงสุกรทั้งประเทศกว่า 200,000 รายเดือดร้อนอย่างหนักจากราคาที่ตกต่ำเพราะหมูเถื่อนเหล่านี้ เมื่อคดีมีความชัดเจน ผู้กระทำผิดถูกลงโทษ สังคมจะไม่ต้องสงสัยเกี่ยวกับอักษรย่อที่พนักงานสอบสวนปล่อยออกมาว่าเป็นใคร คนที่ไม่เกี่ยวข้องจะได้ไม่ต้องมัวหมอง”
อย่างไรก็ตาม การเชื่อมโยงกับ “เฮียเก้า” ผู้บงการขบวนการหมูเถื่อนว่าเกี่ยวข้องกับอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทวงเกษตร การชี้แจงของอดีต รมว.ว่ามอบหมายกรมปศุสัตว์ให้ รมช. (ต่างพรรค) อีกคนดูแล พร้อมระบุว่าถูกเกมการเมืองเล่นงาน หรือแม้แต่การที่เจ้าหน้าที่กรมปศุสัตว์เดินเข้าหา รมช.มหาดไทย ร้องเรียนขอความเป็นธรรมว่าถูกผู้มีอิทธิพลกลั่นแกล้ง ล้วนทำให้ภาพของคดีนี้กลายเป็นประเด็นทางการเมือง ซึ่งกูรูหลายคนมองว่าอาจทำให้คดีหมูเถื่อนกลายเป็นมวยล้มต้มคนดู และสาวไปถึงตัวการจริงไม่สำเร็จ ท้ายที่สุด “เกษตรกรผู้เลี้ยงหมู” จะยังคงเดือดร้อนกับปัญหา “หมูเถื่อน” ที่ไม่ได้รับการแก้ไขอย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด
สถานการณ์หมูเถื่อนขณะนี้เกี่ยวข้องกับหลายกระทรวง ไม่ว่าจะเป็นกระทรวงการคลัง กระทรวงเกษตร กระทรวงยุติธรรม หรือแม้แต่กระทรวงมหาดไทย เกิดการกล่าวโทษกันเองไปมา รวมถึงการตำหนิการทำงานของกันนั้นไม่เป็นผลดีต่อภาพลักษณ์รัฐบาล จึงจำเป็นที่ “นายกรัฐมนตรีเศรษฐา ทวีสิน” ต้องลงมาติดตามแก้ปัญหาอย่างใกล้ชิดอีกครั้ง เพื่อลดความขัดแย้ง และทำให้คดีเดินหน้าต่อไปได้
ที่สำคัญ ท่านนายกฯ ควรต้องทราบว่า หมูเถื่อน ไม่ได้มีเพียงคดี 161 ตู้ กับคดี 2,385 ใบขนเท่านั้น เพราะเจ้าหน้าที่รัฐยังไม่ได้ลงพื้นที่ตรวจสอบตู้คอนเทนเนอร์ตกค้าง Lot 3 ที่ตกค้างตั้งแต่ ก.พ.2566 ถึงปัจจุบัน ในท่าเรือแหลมฉบัง ท่าเรือกรุงเทพ ท่าเรือระนอง และท่าเรือสงขลา ซึ่งคาดว่ายังมีอีกหลายตู้ที่รอการเปิดเผยสู่สังคม ขณะเดียวกัน การปูพรมตรวจห้องเย็น (ที่เชื่อได้ว่ายังเก็บของกลางจากคดีหมูเถื่อน 2,385 ใบขนอยู่) ยังจำเป็นต้องเดินต่อให้ครบถ้วน อย่าปล่อยให้ชะงักขาดตอนไปดื้อๆ เช่นที่เป็นอยู่
ท่านนายกฯ คือความหวังของเกษตรกรคนเลี้ยงหมูทุกคน... หมูเถื่อนเบียดเบียนหมูไทยให้ขาดทุนยับเยินมามากแล้ว อย่าให้ตีนไก่มาเบียดคดีหมูเถื่อนให้ตกชั้นไปเป็นคดีนอกสายตาเลย
โดย สมคิด เรืองณรงค์