ศูนย์ข่าวขอนแก่น - “พิกุล สีดา” อดีตนักกีฬาตะกร้อหญิงทีมชาติไทยชาวขอนแก่นออกมาแฉซ้ำ ได้เหรียญทองแข่งเอเชียนเกมส์ ครั้งที่ 16 กว่างโจวเกมส์ 2010 เงินอัดฉีดได้คนละ 1 ล้านบาท ตัวเธอคว้าชัยทั้งทีมเดี่ยวและทีมชุด แต่ได้เงินแค่ 1 ล้านบาท ส่วนอีก 1 ล้านถูกอม ผ่านมากว่า 13 ปียังไม่จ่ายให้ ฝากสืบศักดิ์ ผันสืบ ตามให้ด้วยครอบครัวกำลังลำบาก
ทำเอาหลายคนแทบช็อกกับความอัปยศที่เกิดขึ้นในวงการกีฬาของไทย ภายหลังพันตำรวจโท สืบศักดิ์ ผันสืบ หนึ่งในกรรมการบริหารสมาคมกีฬาเซปักตะกร้อแห่งประเทศไทยชุดใหม่ ได้ออกมาเผยถึงเงินอัดฉีดของนักกีฬาที่ชนะจากเวทีการแข่งขันในระดับสากลรายการต่างๆ ได้ถูกหักหัวคิวจากกลุ่มผู้มีอิทธิพลในสมาคมกีฬาบางกลุ่ม แม้นักกีฬาเจ้าของเงินรางวัลจะไม่พอใจแต่ก็ไม่สามารถทำอะไรได้
นางสาวพิกุล สีดา อายุ 30 ปี ชาวบ้านใหม่ศรีสุข อำเภอเขาสวนกวาง จังหวัดขอนแก่น เจ้าของเหรียญทองตระกร้อทีมเดี่ยวหญิง ทีมชาติไทย จากการแข่งกีฬาเอเชียนเกมส์ ครั้งที่ 16 กว่างโจวเกมส์ 2010 ก็เป็นอีกหนึ่งในกลุ่มนักกีฬาที่เจอปัญหาหนักยิ่งกว่า เพราะจนป่านนี้ยังไม่ได้เงินรางวัลอัดฉีดจากการคว้าชัยครั้งนั้น
หลังจากพันตำรวจโท สืบศักดิ์โพสต์เปิดโปงเหลือบในแวดวงกีฬา เธอก็อดไม่ได้ที่จะโพสต์ข้อความในเฟซบุ๊กชื่อ ปูนา ขาเก พ่วนแหล่วววว ที่มีข้อความระบุเกี่ยวกับการใช้ชีวิตที่ลำบาก ทั้งที่เคยเป็นนักกีฬาเหรียญทอง รับใช้ชาติหลายครั้ง
พิกุลเล่าว่า ตัวเธอชื่นชอบการเล่นกีฬาเซปักตะกร้อตั้งแต่เด็ก และตอนที่เรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ได้ติดทีมชาติไทย และเลิกเล่นตะกร้อตอนเรียนมัธยมศึกษาปีที่ 6 เพราะจะต้องทุ่มเทเวลาให้กับการเรียนเพื่อสอบเข้ามหาวิทยาลัย ซึ่งในช่วงติดทีมชาตินั้น สามารถคว้าเหรียญทองในการแข่งขัน กว่างโจวเกมส์ 2010 ในประเภททีมเดี่ยวหญิง และทีมชุด โดยขณะนั้นมีการอัดฉีดเงินรางวัลเหรียญทองคนละ 1 ล้านบาท ในแต่ละประเภท ตนได้มาจากทีมเดี่ยวหญิง 1 ล้านบาท อีก 1 ล้านบาทจากทีมชุดไม่มีการจ่ายให้
“หนูขอขอบคุณพี่โจ้ สืบศักดิ์ ผันสืบ ที่ได้มีการหาวิธีในการช่วยติดตามเงินอัดฉีด เพราะหนูยังไม่ได้รับเงินอัดฉีดจำนวน 1 ล้านบาท โค้ชกับผู้จัดการทีมไม่รู้นำเงินไปไว้ไหน แม้ว่าต่อมาได้เลิกเล่นให้ทีมชาติ ก็ได้มีการติดต่อไปทางโค้ชและผู้จัดการทีม แต่เรื่องก็เงียบหายไป” พิกุลกล่าว
พิกุลบอกอีกว่า ปัจจุบันเธอมีครอบครัวแล้ว สามีได้ไปทำงานต่างประเทศ และมีลูกสาววัย 3 ขวบเศษ อาชีพที่ทำอยู่คือปลูกผักขาย แม้ชีวิตจะไม่ลำบากมาก แต่ก็อยากจะได้เงินอัดฉีดดังกล่าวเพื่อเป็นทุน เผื่อต่อยอดทำธุรกิจดูแลครอบครัว เรื่องนี้ได้ผ่านมาแล้วถึง 13 ปี อยากให้อดีตโค้ชและผู้จัดการสงสารอดีตนักกีฬาด้วย
ทุกวันนี้ค่าครองชีพสูง รายได้ไม่ค่อยพอกับค่าใช้จ่าย ลำพังเงินค่าแรงของสามีที่ทำงานอยู่ต่างประเทศโอนมาให้เธอใช้จ่ายเลี้ยงลูกเดือนละ 5,000 บาทเท่านั้น หากได้เงินอัดฉีดก้อนนั้นคืนมาน่าจะเกิดประโยชน์ต่อเธอและครอบครัวมาก