ศูนย์ข่าวนครราชสีมา - นายกสมาคมขนส่งสินค้าอีสานระบุกรณีส่วยรถบรรทุกใน กทม.เกิดจากผู้รับเหมาต้องเร่งรีบทำงานให้เสร็จทันเวลา จึงต้องเคลียร์เส้นทาง ขณะที่ส่วยสติกเกอร์ต่างจังหวัดเริ่มเบาลงแล้ว จี้รัฐบาลหากอยากแก้ปัญหาจริงจังต้องออกกฎหมายให้ผู้ประกอบการมีความผิดร่วมกับคนขับ
จากกรณีที่เมื่อวันที่ 8 พ.ย.ที่ผ่านมาได้เกิดเหตุรถบรรทุกสิบล้อขนดินเหนียวตกถนนสุขุมวิท เนื่องจากแผ่นปูนที่ปิดถนนสำหรับใช้ร้อยท่อสายไฟใต้ดินรับน้ำหนักไม่ไหวทรุดตัวหักกลางถนน ทำให้รถติดยาวหลายกิโลเมตร ก่อนที่จะมีผู้พบเห็นสติกเกอร์สีเขียวรูปดาว มีตัวอักษร B ติดอยู่หน้ารถ ซึ่งกลายเป็นประเด็นที่สังคมถกเถียงกันอยู่ในขณะนี้ว่าอาจจะเป็นสติกเกอร์ส่วยรถบรรทุก ตามที่เคยปรากฏเป็นข่าวดังในช่วงต้นปีที่ผ่านมาหรือไม่
ล่าสุดวันนี้ (10 พ.ย.) ผู้สื่อข่าวได้สอบถามไปยังนายวิชัย สว่างขจร นายกสมาคมขนส่งสินค้าภาคอีสาน ได้รับการเปิดเผยว่า กรณีสติกเกอร์ตามที่ปรากฏเป็นข่าวในขณะนี้นั้น จริงๆ แล้วเป็นที่ทราบกันมานานแล้วว่า ผู้รับเหมาก่อสร้างในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล ต้องทำงานแข่งกับเวลา เพื่อให้ทันกับกำหนดส่งงาน ดังนั้นจึงมีความจำเป็นที่จะต้องเคลียร์เรื่องน้ำหนักรถบรรทุกเพื่อเร่งทำงานให้ทันกับเวลา ซึ่งบ้านเมืองเรามีเรื่องลักษณะนี้เกือบทุกเรื่อง จนฝังรากลึกลงไปในทุกวงการ ไม่เฉพาะเรื่องส่วยรถบรรทุก ถ้าทุกคนไม่ร่วมมือกัน ก็แก้ไขปัญหาเหล่านี้ได้ยาก ขณะเดียวกับกฎหมายของเราก็เปิดช่องว่างให้ผู้ประกอบการใช้โอกาสให้คนขับรถเป็นผู้รับเหมาช่วง
เพราะรถเหล่านี้จะเป็นรถป้ายดำหรือรถยนต์ส่วนบุคคล ไม่ใช่รถป้ายเหลืองหรือรถรับจ้าง เมื่อถูกจับได้ว่าบรรทุกน้ำหนักเกิน ก็โยนความคิดให้กับคนขับรถ แล้วก็เคลียร์คดีกับคนขับรถก่อน ทำให้ไม่สามารถเอาผิดถึงผู้ประกอบการได้ ซึ่งเรื่องลักษณะนี้จะไม่ค่อยเกิดขึ้นกับผู้รับเหมาในต่างจังหวัด เพราะไม่ค่อยมีงานรีบเร่งที่จะต้องมาเคลียร์เส้นทางขนาดนั้น โดยเฉพาะเรื่องส่วยสติ๊ฝกเกอร์ในพื้นที่ภาคอีสาน ตั้งแต่มีการปราบส่วยสติกเกอร์อย่างจริงจังเมื่อต้นปีที่ผ่านมา ตอนนี้ส่วยสติกเกอร์หายไปเกินครึ่ง
ทั้งนี้ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องก็ต้องเร่งไปดำเนินการปราบปรามอย่างจริงจังและต่อเนื่อง ถึงอย่างไรก็ตาม ถ้าหากรัฐบาลต้องการที่จะปราบปรามส่วยสติกเกอร์ให้หมดไปจริงๆ ก็ควรที่จะมีการออกกฎหมายให้มีผู้ร่วมกระทำผิดด้วย เช่นถ้าจับได้ว่ารถบรรทุกคันนี้บรรทุกสินค้ามาจากโรงงานใด หรือบริษัทใด ก็ต้องไปดำเนินคดีโรงงานหรือบริษัทนั้นด้วย เพราะโรงงานและบริษัทนั้นๆ ย่อมรู้ดีว่าก่อนออกจากโรงงานบรรทุกหนักเกินเพียงใด
เรื่องนี้โรงงานและบริษัทต่างๆ พร้อมที่จะให้ความร่วมมืออยู่แล้ว เพราะถ้าเขามีส่วนกระทำความผิด และถูกสั่งปิดโรงงานหรือบริษัท เขาจะได้ไม่คุ้มเสีย เป็นใครก็ต้องกลัว ส่วนโรงงานหรือบริษัทจะมีส่วนเกี่ยวข้องหรือไม่นั้น ก็ต้องอยู่ที่ฝ่ายสืบสวนคดีเพื่อให้ความเป็นธรรมแก่ทุกฝ่ายต่อไป