ศูนย์ข่าวขอนแก่น - นรกส่งมาเกิด คนขับรถตู้รับจ้างใจโฉดวางยาขืนใจเด็กหญิงอายุ 13 ปีขณะโดยสารไปหาพ่อและแม่ที่ทำงานอยู่กรุงเทพฯ ช่วงปิดเทอม หลังถูกกระทำเด็กเกิดอาการช็อกคล้ายคนเสียสติ ทางด้านคดีแจ้งความไว้แล้วนานเป็นเดือนจนป่านนี้ยังไม่คืบหน้า
เกิดเหตุสะเทือนขวัญ กรณีเด็กหญิงวัย 13 ปีถูกคนขับรถตู้บังคับขืนใจบนรถขณะเดินทางจากกรุงเทพฯ กลับบ้านที่อำเภอแวงน้อย หลังทางบ้านทราบเรื่องได้พาเด็กเข้าแจ้งความแต่การดำเนินคดีของตำรวจเป็นไปอย่างเชื่องช้า
นางสวย (นามสมมติ) อายุ 63 ปี ย่าของเด็กหญิงเอ เล่าว่า น้องเอเป็นบุตรคนที่สองของลูกชายที่เดินทางไปทำงานอยู่ในกรุงเทพฯ พร้อมภรรยา จึงเลี้ยงดูหลานสาวมาตั้งแต่เกิด ก่อนเกิดเหตุในช่วงโรงเรียนปิดเทอม พ่อ แม่อยากให้ลูกสาวเดินทางไปหาที่กรุงเทพฯ จึงให้ลูกสาวนั่งรถตู้โดยสารที่วิ่งกรุงเทพฯ และปริมณฑล ซึ่งรับผู้โดยสารจาก อ.แวงน้อยไปส่งยังปลายทางในกรุงเทพฯ โดยเป็นการออกจากบ้านครั้งแรกของน้องเอ
สำหรับรถตู้คันดังกล่าว นางสวยบอกว่าพ่อน้องเอเป็นคนประสานหารถตู้มารับลูกสาวที่บ้านเมื่อเย็นวันที่ 1 ตุลาคม 2566 เพื่อไปหาพ่อแม่ที่ กทม. ซึ่งตามกำหนดการรถตู้จะต้องส่งหลานสาวถึงพ่อแม่ในช่วงเช้ามืดวันที่ 2 ต.ค. แต่รถตู้นำส่งในช่วงเที่ยงของวันที่ 2 ต.ค. ซึ่งจากการสอบถามกับคนขับรถตู้ตอบว่า ซ่อมถนน รถติดมากจึงมาส่งช้า เมื่อพอรับลูกแล้วก็ไม่ได้สังเกตความผิดปกติ เห็นลูกเงียบ นิ่ง คิดว่าลูกสาวเมารถ จึงไม่ได้สอบถาม และให้ลูกสาวนอนพักผ่อน
โดยน้องเอพักอยู่กับพ่อแม่ที่กรุงเทพฯ จนถึงสิ้นเดือนตุลาคม พ่อจึงจองรถตู้ให้ไปรับกลับมาส่งที่บ้าน ซึ่งก็เป็นรถตู้คันเดิมมาส่งหลานสาวที่บ้านในช่วงเวลาเกือบเก้าโมงเช้าของวันที่ 31 ตุลาคม”
นางสวยเล่าต่อว่า หลังจากหลานสาวลงจากรถก็มีอาการเหม่อลอย พฤติกรรมเปลี่ยนไป จึงเฝ้าสังเกตอาการและพยายามคุยกับหลาน ในช่วงเวลานอนกลางคืนหลานไม่ยอมนอน ได้แต่พนมมือและพูดพร่ำ เอ่ยชื่อนายเดช หรือน้าเดช เจ้าของรถตู้ดีทัวร์ แวงน้อยคลาสสิค จึงพยายามคุยจนหลานสาวยอมเล่าให้ฟังว่านั่งรถตู้ไปกับนายเดช นายเดชตระเวนส่งคนไปทั่ว จนเหลือหลานสาวคนเดียว นายเดชจึงให้ดื่มน้ำ ก่อนจะไปส่งหาพ่อแม่
หลังดื่มน้ำ นายเดชได้ข่มขืนหลานสาวในรถตู้จนเลือดไหลเต็มเบาะรถ ซึ่งหลานสาวมีอาการสะลึมสะลือ อ่อนแรง ขัดขืนไม่ได้ จากนั้นก็ไม่รู้สึกตัว มารู้สึกตัวอีกทีก็สว่างแล้ว และพบว่าตัวเองนอนในเบาะรถตู้ และบอกอีกว่ารถตู้ขับวนไปหลายที่ ซึ่งหลานสาวไม่รู้ว่าเป็นที่ใด จนถูกนำส่งถึงที่พักของพ่อแม่ แต่น้องเอยังไม่ได้บอกพ่อแม่ จนกลับมาถึงบ้านจึงเล่าให้ย่าฟัง ว่าถูกนายเดชข่มขืนจนเลือดไหล
หลังทราบเรื่องตนจึงโทรศัพท์บอกลูกชายและลูกสะใภ้ พ่อแม่ของน้องเอ ถึงเรื่องที่เกิดขึ้น และตัดสินใจเข้าแจ้งความต่อตำรวจ สภ.แวงน้อย ซึ่งตำรวจก็รับแจ้งความ และสอบสวนย่าในเบื้องต้น ซึ่งตำรวจ สภ.แวงน้อย สันนิษฐานว่าเหตุการณ์น่าจะเกิดขึ้นในช่วงระหว่างเวลา 05.00-11.00 น.วันที่ 2 ตุลาคม 2566 ช่วงระหว่างทาง อ.บางพลี จ.สมุทรปราการ ถึงพื้นที่ สน.บางกอกใหญ่
โดยตำรวจ สภ.แวงน้อยรับแจ้งความร้องทุกข์ไว้ในเบื้องต้น จากนั้นประสานไปยังตำรวจ สน.บางกอกใหญ่ ที่เชื่อว่าเป็นพื้นที่เกิดเหตุ ให้ทำการสืบสวน และสอบสวนเพื่อดำเนินการขอหมายจับนายเดช คนขับรถตู้ มาดำเนินคดีตามกฎหมาย
นางสวยยังกล่าวอีกว่า หลานสาวมีอาการเหม่อลอย พร่ำเพ้อแต่เรื่องที่เกิดขึ้นกับตัวเอง และชอบพูดว่าถูกข่มขืนแบบนั้นแบบนี้ต่างๆ นานาจนเลือดไหลในรถตู้ คล้ายคนมีอาการทางประสาท สติแตก บางครั้งก็พูดจาไม่รู้เรื่อง พร้อมกันนี้ได้เอาภาพของนายเดชให้หลานสาวดู หลานสาวถึงกับกรีดร้องและบอกว่าบักนี่มันเป็นปีศาจ ซึ่งหลังเข้าแจ้งความต่อตำรวจ สภ.แวงน้อย ตำรวจก็ทำเรื่องส่งตัวไปตรวจร่างกายที่ รพ.แวงน้อย จากการตรวจร่างกาย แพทย์แจ้งเบื้องต้นว่าพรหมจรรย์ฉีกขาด และเป็นแผลที่เกิดขึ้นนานแล้ว ส่วนอาการเหม่อลอยเหมือนเสียสตินั้นเกิดจากอาการของคนถูกวางยา รพ.แวงน้อยจึงส่งตัวหลานสาวไปรักษาต่อที่โรงพยาบาลศูนย์ขอนแก่น จนถึงขณะนี้อาการหลานสาวก็ยังไม่ดีขึ้น ส่วนตำรวจก็ไม่มีฝ่ายไหนมาสอบสวนหรือติดต่อมา และหากปล่อยไว้นานกลัวคนก่อเหตุจะไหวตัวหลบหนี
ทางด้านนายเอก (นามสมมติ) อายุ 40 ปี พ่อของน้องเอ ซึ่งเฝ้าดูแลลูกสาวที่โรงพยาบาลศูนย์ขอนแก่น กล่าวว่า เคยใช้บริการรถตู้คันดังกล่าว เป็นรถตู้ที่ชาวบ้านในพื้นที่ใช้บริการกันเป็นประจำ โดยจะมีป้ายโฆษณาติดไว้ตามเสาไฟฟ้าในหมู่บ้านชุมชน เมื่อรู้ว่าลูกสาวปิดเทอม ด้วยความคิดถึงอยากให้ลูกไปอยู่ด้วย จึงติดต่อรถตู้ให้ไปรับลูกสาวจากที่บ้านมาส่งให้ยังที่พักในกรุงเทพฯ ซึ่งปกติรถจะถึงในช่วงเช้ามืด แต่ไม่เห็น จึงโทรศัพท์สอบถามนายเดช คนขับรถตู้ บอกว่า ซ่อมถนน รถเยอะ รถติด จะถึงช้า
ส่วนโทรศัพท์ของลูกสาวติดต่อได้ แต่ไม่รับสาย จึงคิดว่าลูกสาวหลับในรถ จนกระทั่งก่อนเที่ยง รถตู้จึงส่งลูกสาวให้พ่อแม่ โดยที่ไม่ได้สังเกตความผิดปติของลูก พบเพียงอาการนิ่งเงียบ ไม่คุย จึงคิดว่าลูกเมารถ จึงให้ลูกนอนพักผ่อน พ่อแม่ก็ไปทำงานตามปกติ
จนกระทั่งวันที่ 30 ตุลาคม 2566 วันที่ต้องส่งลูกสาว และลูกชายกลับบ้านที่ขอนแก่น จึงให้รถตู้คันเดิมมารับลูกยังที่พัก ช่วงเย็นรถตู้ก็มารับ แต่เมื่อลูกสาวเห็นรถตู้และคนขับรถตู้ ลูกสาวผวา ร้องไห้กอดแม่ คิดว่าลูกสาวคงคิดถึงพ่อแม่ จึงปลอบลูกสาว และส่งขึ้นรถพร้อมลูกชาย อายุ 16 ปี เรียนชั้น ม.4 ให้กลับมาหาย่าที่บ้าน
เมื่อลูกสาวถึงบ้าน กลับมีอาการเหมือนคนเสียสติ พูดพร่ำถึงเหตุการณ์ที่ถูกคนขับรถตู้ข่มขืนในรถ จนเลือดไหล และบอกว่าคนขับรถตู้เป็นปีศาจ ชอบแต่เรื่องในหว่างขา จนย่าผิดสังเกตที่หลานสาวเพ้อเช่นนั้น ซึ่งย่าพยายามเค้นถามหาความจริง จนทราบว่าลูกสาวถูกคนขับรถตู้ข่มขืนในรถ จึงแจ้งความต่อตำรวจให้สืบสวนจับกุมนายเดชมาดำเนินคดีตามกฎหมาย
แต่ตำรวจทำงานล่าช้ามาก ไม่มีการสอบสวนลูกสาวแม้แต่ครั้งเดียว ซึ่งครอบครัวก็พอรู้ว่าเรื่องเด็กต้องใช้ทีมสหวิชาชีพมาสอบสวน แต่จนถึงขณะนี้ไม่มีใครหรือหน่วยงานใดมาสอบสวนย่า พ่อ แม่หรือลูกสาวเลย สอบถามตำรวจที่ สภ.แวงน้อยก็ได้แต่บอกว่ารอฝ่าย สน.บางกอกใหญ่ทำการสอบสวนและขอหมายจับ สภ.แวงน้อยจึงจะจับกุมตัวนายเดชได้
ขณะที่ตำรวจ สน.บางกอกใหญ่ก็บอกว่า ยังไม่ได้สอบสวนผู้เสียหายและพยานแวดล้อม ต้องรอให้น้องเออาการดีขึ้นถึงจะทำการสอบสวน และสืบสวนจับกุมคนที่ข่มขืนน้องเอได้
ส่วนอาการคล้ายคนเสียสตินั้น แพทย์โรงพยาบาลศูนย์ขอนแก่นแจ้งว่ายังไม่ทราบสาเหตุ แต่อาจจะเกิดจากเหตุการณ์ที่น้องถูกกระทำฝังอยู่ในจิตใต้สำนึก ทำให้เกิดอาการดังกล่าวได้ ซึ่งแพทย์จะทำการสแกนสมองน้องเอในวันจันทร์นี้
นายเอกบอกว่าความเห็นส่วนตัวตนอยากให้ส่งตัวลูกสาวไปรักษาที่โรงพยาบาลจิตเวช เพราะเชื่อว่าลูกสาวสติแตกจนมีอาการทางจิตแล้ว ขอวิงวอนให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องช่วยเข้ามาดูแลเรื่องที่เกิดขึ้นกับลูกสาวให้ด้วย ตอนนี้ลูกสาวเสียสติ หนังสือก็ไม่ได้เรียนแล้ว แพทย์บอกว่าอาการเช่นนี้ต้องใช้เวลารักษาเป็นปีจึงจะมีอาการดีขึ้น ซึ่งเท่ากับว่าคนขับรถตู้ทำร้ายลูกสาวจนเสียอนาคต ขอให้ตำรวจสืบสวนจับกุมนายเดชเข้าคุกด้วย