พิษณุโลก - เปิดคัมภีร์ชลประทาน..วางคิวสร้างเขื่อนท้ายเมืองสองแควตามคำบัญชา “นายกฯ เศรษฐา” ที่เพิ่งมาเยือน แก้ปัญหาทุกข์คนเมือง “น้ำประปาพิษณุโลกขุ่นคลั่ก” ก่อนสั่งการให้ทำทันที เผยงบ 1.6 พันล้าน-สร้าง 5 ปี ไม่ต้องเวนคืนที่ดิน-ไม่ต้องทำ EIA
หลังจากนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี พร้อมคณะ ลงพื้นที่พิษณุโลก และเดินทางไปตรวจโรงผลิตน้ำประปา ของเทศบาลนครพิษณุโลก วานนี้ (14 ต.ค.) เพื่อร่วมแก้ปัญหาคนเมืองที่ต้องทนทุกข์กับน้ำประปาขุ่นหนักในฤดูฝน โรงแรม ห้างร้าน ยันชาวบ้านชาวช่องใช้อุปโภคบริโภคใม่ได้
จนเกิดวิวาทะว่า..ต้องถึงขั้นทำประชาคมโอนถ่ายให้การประปาส่วนภูมิภาคหรือไม่ ทำให้นายกฯ ฉุน บอก..ใครรับผิดชอบดูแลประปาไม่สำคัญ ขอให้ทำน้ำประปาให้ประชาชนพอใจเท่านั้น
โอกาสนี้ นายภูสิต สมจิตต์ ผู้ว่าฯ พิษณุโลก ได้นำเสนอน่าจะสร้างเขื่อนท้ายเมืองพิษณุโลกด้วยงบประมาณ 1.6 พันล้านตามแผนงานปี 69 ซึ่งนายกฯเศรษฐาบอกกลับทันทีว่า..จะต้องสร้างให้เร็วที่สุดในปี 67 ได้หรือไม่ สร้างความแตกตื่นแก่ข้าราชการและประชาชนที่ได้รับฟังอย่างมาก เพราะเริ่มมีความหวัง เขื่อนฯ จะทำให้น้ำนิ่งและใส ง่ายต่อการบำบัดก่อนป้อนสู่ท่อประปาหล่อเลี้ยงคนเมืองทั้งย่านเศรษฐกิจ โรงแรม-หอพักธุรกิจ ร้านค้าที่กระจายตัวในฐานะเมืองรอง
ด้านนายทวีศักดิ์ ธนเดโชพล รองอธิบดีกรมชลประทาน ขานรับทันทีว่าเป็นความคิดที่ดี เพราะจุดก่อสร้างเขื่อนท้ายเมืองพิษณุโลกห่างจากเขื่อนสิริกิติ์ 200 กม. แถมยังก่อเกิดประโยชน์พื้นที่เกษตรกรรม 38,500 ไร่ แก้ปัญหาน้ำท่วมและภัยแล้งยั่งยืน โดยนายกฯ สั่งการให้ทำทันที อย่างน้อยปีหน้า ให้ดูแนวทางหรือปัญหาติดขัดหรือผลกระทบใดๆ หรือไม่ ควรเร่งแก้ไขปัญหา
ทั้งนี้ โครงการดังกล่าว นายชำนาญ ชูเที่ยง ผู้อำนวยการโครงการชลประทานพิษณุโลก เคยนำเสนอในการแถลงข่าวต่อสื่อมวลชนมาก่อนว่าเป็นโครงการสร้างอาคารบังคับน้ำท้ายเมืองพิษณุโลก ตั้งอยู่บริเวณพื้นที่ของศูนย์ส่งเสริมและพัฒนาอาชีพการเกษตร ต.งิ้วงาม อ.เมือง จ.พิษณุโลก (สร้างบริเวณช่องลัดของแม่น้ำน่าน)
ลักษะโครงการ ก่อสร้างประตูระบายน้ำขนาด 7 ช่อง กว้าง 12.5 ม. x สูง 8.0 ม. งบประมาณค่าก่อสร้างประมาณ 1,600 ล้านบาท สามารถเก็บกักน้ำในแม่น้ำน่าน ได้ประมาณ 40 ล้าน ลบ.ม. สนับสนุนพื้นที่การเกษตรประมาณ 23,500 ไร่ และยกระดับน้ำในแม่น้ำน่านเป็นแหล่งน้ำสร้างความมั่นคงสำหรับการอุปโภค-บริโภค ปศุสัตว์ ประมง (ปลากระชัง) แหล่งเพาะพันธุ์สัตว์น้ำ รักษาระบบนิเวศ และรักษาเสถียรภาพความมั่นคงของตลิ่ง รวมถึงเป็นการส่งเสริมการท่องเที่ยวริมฝั่งแม่น้ำน่าน
ส่วนการจัดทำรายงานศึกษาสิ่งแวดล้อม (EIA) ของโครงการเขื่อนทดน้ำท้ายเมืองพิษณุโลก ได้รับการยกเว้นตามกฎหมายใหม่ ไม่ต้องทำรายงาน EIA เพียงจัดทำรายงานการศึกษาความเหมาะสมโครงการ (FS: Feasibility Study) ในการจัดทำขออนุญาตก่อสร้างกับหน่วยงานต่างๆ เช่น กรมเจ้าท่า เพราะพื้นที่ก่อสร้างอยู่ในช่องลัดของแม่น้ำน่านเป็นการสร้างบนพื้นที่ไม่ได้สร้างในแม่น้ำน่าน
และก่อสร้างในสถานที่ราชการเป็นที่ราชพัสดุ ไม่ต้องมีการเวนคืนที่ดินของประชาชน ทำให้ไม่มีผลกระทบเรื่องที่ดิน และไม่กระทบต่อประชาชน รวมถึงระบบนิเวศในแม่น้ำน่าน ระหว่างการก่อสร้างสามารถเสนอของบประมาณในการสำรวจ เจาะธรณี และออกแบบโครงการ เพื่อของบประมาณในการก่อสร้าง ซึ่งใช้เวลาในการก่อสร้างหัวงาน 5 ปี
รูปแบบอาคารบังคับน้ำในแม่น้ำน่าน เหมือน “เขื่อนผาจุก จ.อุตรดิตถ์” ที่อยู่ตอนบนของแม่น้ำน่าน เอื้อประโยชน์คือ
1) ที่ตั้งอยู่ในบริเวณพื้นที่ประสบปัญหาการขาดแคลนน้ำเพื่อการเกษตรกรรม และการอุปโภค-บริโภค
2) สามารถยกระดับและกักเก็บน้ำ เพื่อส่งน้ำโดยแรงโน้มถ่วงให้กับพื้นที่เพาะปลูกได้เป็นลำดับแรก และกักเก็บน้ำให้กับสถานีสูบน้ำด้วยไฟฟ้าปัจจุบัน-ก่อสร้างใหม่ ตามลำดับ
3) ไม่อยู่ในตำแหน่งที่ได้รับผลกระทบจากระยะเก็บกักของฝายหรืออาคารบังคับน้ำที่มีอยู่เดิมด้านท้ายน้ำ เพื่อป้องกันปัญหาการระบายน้ำ
4) ไม่อยู่ในตำแหน่งที่ก่อให้เกิดผลกระทบต่อโครงสร้างอาคารปัจจุบันด้านท้ายน้ำ เช่น สะพาน แพ
5) พิจารณาเปรียบเทียบการก่อสร้างอาคารในช่องลัดน้ำ /ก่อสร้างอาคารในลำน้ำแต่ละจุดที่พิจารณาอาคารบังคับน้ำในแม่น้ำน่าน
5.1) อาคารในช่องลัดน้ำ บริเวณที่ตั้งไม่ควรมีสภาพเป็นที่ลุ่ม หรือมีระดับพื้นที่ต่ำกว่าพื้นที่ข้างเคียง ซึ่งจะทำให้ถนนเข้าหัวงาน มีลักษณะเป็นคันกั้นน้ำ
5.2) อาคารในลำน้ำ บริเวณที่ตั้งอาคารมีสภาพค่อนข้างตรง มีระดับตลิ่งสูงมากพอที่จะไม่ทำให้น้ำที่เก็บกักไหลลันตลิ่งพิจารณาช่องผันน้ำระหว่างก่อสร้าง
6) มีพื้นที่เพียงพอต่อการจัดวางอาคารประกอบหัวงาน และมีผลกระทบต่อบริเวณพื้นที่ข้างเคียงในระดับที่ยอมรับได้