อุทัยธานี - กลัวต้องติดคุกไปจนตาย..สองแม่ลูกชาวอุทัยฯ ร้องผ่านสื่อฯ อยู่บ้านเช่า สานพัดขายเลี้ยงปากท้อง หม้อหุงข้าวพังยังไม่มีตังค์ซื้อ ถูกคนอ้างเป็นนายกสโมสรไลออนส์-เมียเถ้าแก่โรงสี พาไปเซ็นเอกสารรับเงินช่วยคนจนรายละ 200,000 บาท สุดท้ายกลับเป็นหนี้แบงก์รวมเกือบ 500,000 บาท
หลังได้รับแจ้งจากหญิงสูงอายุ ชาว อ.เมืองอุทัยธานี ว่าขอให้เข้ามาช่วยเหลือแม่ลูกรายหนึ่ง ซึ่งมีฐานะยากจนมาก สานพัดขายตามงานวัดเลี้ยงปากเลี้ยงท้อง แต่ต้องตกเป็นหนี้ก้อนใหญ่รวมเกือบ 500,000 บาท เพราะถูกคนอ้างตัวเป็นนายกสโมสรแห่งหนึ่ง หลอกว่าจะเข้ามาให้การช่วยเหลือผู้ที่มีฐานะยากจน แต่สุดท้ายกลับมีใบแจ้งหนี้ส่งมาแทน
ล่าสุดผู้สื่อข่าวได้ลงพื้นที่ไปยังบ้านเช่าย่านวัดสังกัสรัตนคีรี พบนางจงจิตร ยังกรุงเก่า อายุ 60 ปี ซึ่งเป็นผู้แจ้งเรื่องร้องทุกข์ดังกล่าว ซึ่งได้พาไปสอบถามเรื่องราวกับนางฉวี สุขน้ำมัน อายุ 65 ปี และลูกสาวคือ นางสาวน้ำอ้อย พวงสายทอง อายุ 46 ปี อยู่บ้านเลขที่ 37/6 หมู่ที่ 2 ต.ท่าซุง อ.เมืองอุทัยธานี ซึ่งมีอาชีพขายพัดไม้ไผ่สานตามงานวัด
ทั้งสองแม่ลูกซึ่งอาศัยอยู่ในห้องเช่าสภาพที่ทรุดโทรม มีข้าวของที่แทบจะใช้การไม่ได้อยู่เต็มบ้านพร้อมกับสัตว์เลี้ยง หนำซ้ำหม้อหุงข้าวและไฟฟ้าก็ยังพังเสียหายแต่ไม่มีเงินซื้อใหม่ ต้องใช้ตามมีตามเกิด เปิดเผยเรื่องราวให้ฟังว่า ได้เช่าบ้านหลังนี้อยู่กับลูกสาวมานานกว่า 10 ปีแล้ว ในราคา 1,100 บาทต่อเดือน ส่วนสามีก่อนหน้านี้ก็อยู่ด้วยกันแต่ป่วยติดเตียงและได้เสียชีวิตลงแล้ว
นางจงจิตร ยังกรุงเก่า ได้เล่าให้ฟังว่า เหตุการณ์สองแม่ลูกตกเป็นหนี้ก้อนโต เกิดขึ้นเมื่อช่วงปี 2565 ที่ผ่านมา ได้มีหญิงรายหนึ่งทราบชื่อว่า นางสาวสุชาดา อ้างว่าเป็นนายกสโมสรไลออนส์ และเป็นภรรยาของเถ้าแก่โรงสีแห่งหนึ่งในอำเภอหนองฉาง เดินทางมาที่หน้าบ้านของตน พร้อมบอกว่า..จะมาหาคนยากคนจนเพื่อให้เงินช่วยเหลือ โดยการพาไปทำเรื่องขอเงินคนจน ที่กรุงเทพฯ ซึ่งจะให้รายละ 200,000 บาท
ตนจึงได้ชักชวน นางฉวี และลูกสาว เดินทางไปกรุงเทพฯ พร้อมกับหญิงรายดังกล่าว เมื่อไปถึงแล้วทางนางสาวสุชาดา ก็ได้ขอบัตรประชาชนของทั้ง 3 คนไป อ้างว่าจะนำไปตรวจสอบก่อนว่าผ่านการคัดเลือกหรือไม่ หลังจากนั้นนางสาวสุชาดา ก็ได้กลับมาบอกว่าของตนไม่ผ่านการคัดเลือก แต่ของนางฉวีกับลูกสาวทำเรื่องผ่าน ไม่เช่นนั้นตนเองก็คงจะเป็นหนี้เหมือนกับทั้งสองคนนี้อย่างแน่นอน
นางฉวี สุขน้ำมัน เล่าต่อว่า ตอนนั้นไปก็เพราะหวังจะได้เงินช่วยเหลือคนจนจริงๆ พอรู้ว่าจะมีคนช่วยเหลือคนยากจนก็ทำให้มีความหวังว่าจะได้เงิน 2 แสนบาทมาใช้สร้างเนื้อสร้างตัวได้จริงๆ ซึ่งถ้ารวมกับลูกสาวด้วยก็เป็นเงินถึง 4 แสนบาท คิดว่าครอบครัวจะได้ไม่ต้องลำบากกันแบบนี้อีกต่อไปแล้ว
ซึ่งนางสาวสุชาดา คนที่บอกว่าจะช่วยเหลือนั้น ได้นัดเจอตนแถวนวนคร 2 ครั้ง โดยครั้งแรกไปเพื่อนำบัตรประชาชนไปเช็กว่าผ่านหรือไม่ ส่วนครั้งที่สองได้ไปทำการสแกนใบหน้า จากนั้นนางสาวสุชาดาก็บอกกับตนว่า..ให้รอเรื่องเอกสารที่ทางเจ้าหน้าที่กำลังจัดเตรียม พร้อมให้เซ็นเอกสารแล้วรอการโอนเงินผ่านบัญชีธนาคารเท่านั้นก็เป็นอันเสร็จ หลังจากนั้นตนเองก็เดินทางกลับมาที่บ้านกันตามปกติ
ทางนางสุชาดายังบอกอีกด้วยว่า จะมีเงินทยอยโอนให้ ซึ่งตอนนั้นก็มีเงินโอนมาจริงๆ ครั้งแรกมีเงินเข้าบัญชีของนางฉวี จำนวน 3,000 บาท เมื่อเดือนกรกฎาคม 2565 หลังจากนั้นอาทิตย์กว่าๆ ก็มียอดโอนมาให้ครั้งที่สอง จำนวน 5,000 บาท รวมเป็นเงิน 8,000 บาท และส่วนของนางสาวน้ำอ้อยมีเงินโอนเข้าบัญชีมาครั้งแรก 3,000 บาท ครั้งที่สอง 2,000 บาท
แต่หลังจากนั้นมาก็มีหนังสือทวงหนี้ของธนาคารกสิกรไทยส่งมา บอกว่านางฉวีต้องชดใช้หนี้สินที่กู้ยืมทางธนาคารมาเป็นเงิน 310,000 บาท ส่วนลูกสาวคือนางสาวน้ำอ้อย ทางธนาคารเคยมีหนังสือแจ้งเตือนมาบอกว่าเป็นหนี้อยู่ 180,000 บาท รวมยอดหนี้สองแม่ลูกเกือบ 500,000 บาท
“ตกใจมาก ไม่คิดว่าตัวเองจะมาถูกหลอกอะไรแบบนี้ เพราะด้วยความที่ไม่รู้หนังสือทั้งคู่ จึงทำให้เวลามีการให้เซ็นเอกสารอะไรจึงไม่รู้เรื่องเลย ตอนนี้ก็เป็นทุกข์มาก เพราะต้องมาเป็นหนี้ก้อนโต หนำซ้ำตอนที่สามีป่วยฉันและลูกสาวก็ได้ทำเรื่องกู้เงินกับสหกรณ์การเกษตรไว้ 180,000 บาท ซึ่งเป็นหนี้ที่กู้มาแบบถูกต้อง ทุกวันนี้ก็แทบจะไม่มีเงินส่งอยู่อีกด้วย”
ทั้งสองแม่ลูกยังได้บอกอีกว่า ก่อนหน้านี้เคยไปแจ้งความกับเจ้าหน้าที่ตำรวจมาแล้ว แต่ทางตำรวจบอกว่า..อย่าแจ้งเลยหากเป็นคดีความป้ากับลูกสาวก็ไม่ชนะอย่างแน่นอน และกลัวว่าทางนางสาวสุชาดาจะฟ้องกลับอีก ทำให้ยิ่งมืดแปดด้าน จึงลองตัดสินใจติดต่อกับทางผู้สื่อข่าวขอให้นำเสนอเรื่องราวของตนเพื่อให้สังคมภายนอกเห็น เผื่อคนที่รู้กฎหมายจะเข้ามาช่วยเหลือตนเองได้บ้าง
“ตอนนี้กลัวว่าจะต้องถูกดำเนินคดีติดคุกไปจนตาย เพราะไม่มีปัญญาจะใช้หนี้ที่ตัวเองถูกหลอกได้แน่นอน”