เชียงใหม่ - สาวเจ้าหน้าที่การแพทย์ฉุกเฉินเชียงใหม่ขึ้นโรงพักแม่แตงแจ้งความดำเนินคดีหนุ่มคนขับรถตู้สุดกร่างขับปาดขวางหน้าข่มขู่คุกคามและกระชากโทรศัพท์จากมือ ยืนยันเอาเรื่องให้ถึงที่สุด หลังก่อนหน้านี้ตำรวจช่วยเจรจาไกล่เกลี่ยจนได้ข้อตกลงต่างฝ่ายไม่ติดใจเอาความกันแล้ว ทั้งๆ ที่เป็นฝ่ายโดนกระทำและคู่กรณีขู่จะเอา พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ จากการโพสต์คลิปเตือนภัยและขอความช่วยเหลือแจ้งเบาะแส แต่สุดท้ายฝ่ายก่อเหตุยังไม่ยอมจบเรื่อง
ความคืบหน้ากรณีหญิงสาวเจ้าหน้าที่การแพทย์ฉุกเฉิน สังกัดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นแห่งหนึ่งในจังหวัดเชียงใหม่ โพสต์คลิปกล้องติดหน้ารถยนต์บันทึกภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นบนถนนโชตนา พื้นที่อำเภอแม่แตง จังหวัดเชียงใหม่ ช่วงค่ำคืนวันที่ 17 ก.ค. 66 ระหว่างขับรถยนต์เพียงลำพังแล้วถูกรถตู้คันหนึ่งขับปาดหน้าขวางและมีผู้ชายลักษณะคล้ายคนเมาสุราลงจากรถมาข่มขู่แสดงความไม่พอใจเกี่ยวกับรถยนต์ของทางฝ่ายหญิงสาวที่มีการติดสัญญาณไฟฉุกเฉิน รวมทั้งยังได้ใช้มือกระชากแย่งโทรศัพท์มือถือไปจากมือของฝ่ายหญิงที่นั่งอยู่ในรถและพูดจาในลักษณะข่มขู่ด้วย จากนั้นมีผู้เห็นเหตุการณ์เข้าให้การช่วยเหลือ และผู้ชายที่ก่อเหตุได้ขับรถหลบหนีออกไปทันที ซึ่งหลังเกิดเหตุฝ่ายหญิงสาวผู้เสียหายได้เข้าแจ้งความลงบันทึกประจำวันไว้เป็นหลักฐานที่สถานีตำรวจภูธรแม่แตง พร้อมโพสต์คลิปเหตุการณ์ในโซเชียลมีเดียเพื่อเตือนภัยและขอความช่วยเหลือให้ช่วยแจ้งเบาะแสเกี่ยวกับผู้ชายที่ขับรถตู้คันดังกล่าว
โดยต่อมาทางเจ้าหน้าที่ตำรวจตรวจสอบจนทราบว่าผู้ชายคนขับรถตู้ที่ก่อเหตุตามคลิปเป็นชาวอำเภอแม่แตง อายุ 46 ปี และนัดหมายให้พบพูดคุยเจรจาไกล่เกลี่ยกันช่วงค่ำวานนี้ (18 ก.ค. 66) ที่สถานีตำรวจภูธรแม่แตง ทว่าประเด็นในการไกล่เกลี่ยกลับไม่ได้เป็นเรื่องการข่มขู่คุกคามและการแย่งโทรศัพท์มือถือของฝ่ายหญิงสาวเจ้าหน้าที่การแพทย์ฉุกเฉิน รวมทั้งการตรวจวัดแอลกอฮอล์ของผู้ชายคนขับรถตู้ แต่กลับเป็นทางฝ่ายคนขับรถตู้ที่ข่มขู่ว่าจะแจ้งความดำเนินคดีกับทางฝ่ายหญิงสาวในฐานความผิด พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ ซึ่งสุดท้ายได้ข้อตกลงร่วมกันว่าต่างฝ่ายต่างไม่ติดใจเอาความกัน และให้มีการโพสต์ข้อความขอโทษกันทั้งสองฝ่าย อย่างไรก็ตาม ปรากฏว่าทางฝ่ายหญิงสาวได้ดำเนินการตามที่ตกลงกันแล้ว แต่ทางฝ่ายคนขับรถตู้ไม่ดำเนินการ และมีการบันทึกภาพหน้าจอเฟซบุ๊กส่วนของฝ่ายหญิงสาวที่โพสต์ไว้ไปโพสต์ต่อ รวมทั้งเขียนข้อความให้คนทั่วไปเข้าใจผิดว่าทางหญิงสาวเป็นฝ่ายผิดและโพสต์ขอโทษ
วันนี้ (19 ก.ค. 66) ที่สถานีตำรวจภูธรแม่แตง อำเภอแม่แตง จังหวัดเชียงใหม่ นางสาวเมย์ (นามสมมติ) อายุ 29 ปี เจ้าหน้าที่การแพทย์ฉุกเฉิน สังกัดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นแห่งหนึ่งในจังหวัดเชียงใหม่ เข้าแจ้งความร้องทุกข์ให้ดำเนินคดีกับคู่กรณีที่เป็นผู้ชาย อายุ 46 ปี ชาวอำเภอแม่แตง จังหวัดเชียงใหม่ ฐานความผิดคุกคามกักขังหน่วงเหนี่ยว และทำให้เสียทรัพย์ จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตามคลิป ฐานความผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ ทั้งนี้เนื่องจากภายหลังที่ได้มีการเจรจาไกล่เกลี่ยกันและตกลงร่วมกันทั้งสองฝ่ายต่อหน้าเจ้าหน้าที่ตำรวจช่วงค่ำวานนี้แล้วว่าต่างฝ่ายต่างไม่ติดใจเอาความกัน และให้มีการโพสต์ข้อความขอโทษกันทั้งสองฝ่าย แต่ปรากฏว่านางสาวเมย์ (นามสมมติ) ได้ดำเนินการแต่ฝ่ายเดียว ขณะที่คู่กรณีไม่ยอมดำเนินการและยังมีการนำโพสต์ของนางสาวเมย์ (นามสมมติ) ไปโพสต์ต่อและทำให้คนทั่วไปเข้าใจผิดว่านางสาวเมย์ (นามสมมติ) เป็นฝ่ายผิดและออกมาขอโทษ ซึ่งทำให้นางสาวเมย์ (นามสมมติ) รู้สึกว่าได้รับความเสียหายและตัดสินใจเข้าแจ้งความดำเนินคดี พร้อมยืนยันจะดำเนินการเอาเรื่องจนถึงที่สุด
ทั้งนี้ นางสาวเมย์ (นามสมมติ) เปิดเผยว่า ตัวเองเป็นเจ้าหน้าที่การแพทย์ฉุกเฉิน สังกัดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นแห่งหนึ่งในจังหวัดเชียงใหม่ ปฏิบัติหน้าที่ในเขตอำเภอสันกำแพง จังหวัดเชียงใหม่ และรถยนต์ที่ใช้งานมีการติดสัญญาณไฟฉุกเฉิน รวมทั้งสติกเกอร์ที่แสดงสัญลักษณ์ว่าเป็นรถสนับสนุนปฏิบัติการที่จุดเกิดเหตุ โดยในวันเกิดเหตุตนเองได้ขับรถยนต์เพียงลำพังจากบ้านพักไปเบิกเงินจากตู้ ATM ในตัวอำเภอแม่แตง แต่ระหว่างทางเกิดเหตุการณ์ตามที่ปรากฏในคลิป จากนั้นได้แจ้งความไว้และโพสต์คลิปเตือนภัย รวมทั้งขอความช่วยเหลือในการแจ้งเบาะแส กระทั่งต่อมาทางตำรวจได้เชิญตัวคู่กรณีมาพูดคุยเจรจาไกล่เกลี่ยกัน โดยฝ่ายคู่กรณีข่มขู่ว่าจะแจ้งความดำเนินคดีทางฝ่ายตนเองฐานความผิด พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ ทั้งๆ ที่ตนเองเป็นฝ่ายถูกกระทำ ซึ่งตนไม่อยากมีปัญหายืดเยื้อจึงยินยอมตามข้อตกลงที่ว่าต่างฝ่ายต่างไม่ติดใจเอาความกัน และให้มีการโพสต์ข้อความขอโทษกันทั้งสองฝ่าย
อย่างไรก็ตาม ปรากฏว่าหลังจากเจรจาไกล่เกลี่ยกันจนได้ข้อยุติแล้ว ทางฝ่ายตนได้ดำเนินการโพสต์ข้อความขอโทษในเฟซบุ๊กตามที่ตกลงกัน แต่ทางฝ่ายคนขับรถตู้ที่เป็นคู่กรณีกลับไม่ดำเนินการ และยังมีการบันทึกภาพหน้าจอจากเฟซบุ๊กส่วนของตัวเองที่โพสต์ข้อความตามที่ตกลงกันไว้นำไปโพสต์ต่อตามสื่อโซเชียลต่างๆ พร้อมทั้งเขียนข้อความให้คนทั่วไปเข้าใจผิดว่าเป็นทางฝ่ายตนที่ยอมรับผิดและออกมาขอโทษ ซึ่งทำให้ตนได้รับความเสียหาย โดยได้พยายามติดต่อไปพูดคุยกับทางฝ่ายคู่กรณีแล้วว่าเป็นการบิดเบือนและไม่เป็นไปตามข้อตกลง แต่ไม่ได้รับการตอบสนอง จึงตัดสินใจเข้าแจ้งความดำเนินคดีต่อคู่กรณี พร้อมยืนยันว่าจะเอาเรื่องจนถึงที่สุดและไม่มีการยอมความใดๆ อีกทั้งสิ้น เพราะก่อนหน้านี้ตนได้พยายามประนีประนอมทุกอย่างแล้วเพื่อยุติเรื่อง ทั้งๆ ที่เป็นฝ่ายถูกกระทำ แต่คู่กรณีกลับไม่ทำตามข้อตกลง
ด้านพันตำรวจเอก จิรภาส ศักดิ์สูง ผู้กำกับการสถานีตำรวจภูธรแม่แตง เปิดเผยว่า กรณีนี้ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจยืนยันว่าพร้อมให้ความเป็นธรรมแก่คู่กรณีทั้งสองฝ่าย โดยการดำเนินการทุกอย่างว่ากันไปตามพยานหลักฐาน