xs
xsm
sm
md
lg

ผบช.ภาค 5 แถลงจับ "เจ๊เปิ้ล" พร้อมผัวตุ๋นเหยื่อซื้อขายที่ดินทิพย์เสียหายหลายร้อยล้าน-ส่ง ปปง.สอบเส้นทางเงิน

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



เชียงใหม่ - ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 5 แถลงจับกุม “เจ๊เปิ้ล” พร้อมสามี ผู้ต้องหาคดีฉ้อโกงประชาชน สุดแสบตุ๋นขายโครงการที่ดินทิพย์ หลอกลวงผู้เสียหายกว่า 200 ราย สูญเงินรวมกันหลายร้อยล้านบาท เบื้องต้นยังปากแข็งอ้างไม่รู้เห็นใดๆ เตรียมส่งศาลฝากขังและคัดค้านการประกันตัว มีพฤติการณ์หลบหนี พร้อมประสาน ปปง.ตรวจสอบเส้นทางการเงิน ติดตามหาทรัพย์สินที่ซุกซ่อน


วันนี้ (16 มิ.ย. 66) ที่กองบังคับการตำรวจภูธรจังหวัดเชียงใหม่ พลตำรวจโท ปิยะ ต๊ะวิชัย ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 5 นำแถลงการณ์จับกุมตัว “เจ๊เปิ้ล” นางสาวพิชามญชุ์ หอมหวล ชาวจังหวัดสมุทรปราการ อายุ 44 ปี และนายคณิศร บุญศิริ ชาวจังหวัดสมุทรปราการ ผู้เป็นสามี อายุ 44 ปี ซึ่งเป็นผู้ต้องหาตามหมายจับศาลจังหวัดเชียงใหม่ ในคดีฉ้อโกงประชาชน จากการต้มตุ๋นหลอกลวงขายโครงการที่ดินทิพย์ ที่มีผู้เสียหายเบื้องต้นกว่า 200 ราย มูลค่าความเสียหายเป็นเงินหลายร้อยล้านบาท โดยทางตำรวจภูธรภาค 5 ได้ประสานไปยังกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ที่ทำการสืบสวนสอบสวน กระทั่งทราบว่ากำลังหลบหนีจากจังหวัดเชียงใหม่มุ่งหน้าไปจังหวัดนครราชสีมา และประสานตำรวจทางหลวงสกัดจับกุมตัว “เจ๊เปิ้ล” ได้วานนี้ (15 มิ.ย. 66) บนถนนทางหลวงระหว่างขับรถยนต์มุ่งหน้าเข้าตัวจังหวัดนครราชสีมา พื้นที่อำเภอด่านขุนทด ต่อเนื่องอำเภอสีคิ้ว จังหวัดนครราชสีมา พร้อมเกลี้ยกล่อมให้ “เจ๊เปิ้ล” ติดต่อกับสามีให้เข้ามอบตัวในเวลาต่อมาในพื้นที่อำเภอสีคิ้ว จากนั้นควบคุมตัวทั้ง 2 คนส่งพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรสารภี จังหวัดเชียงใหม่ เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป ซึ่งเบื้องต้นทั้ง 2 คนยังคงให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา อ้างว่าไม่รู้เห็นและไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการหลอกลวงดังกล่าวแต่อย่างใด ขณะที่ตัวแทนผู้เสียหายได้มอบกระเช้าแสดงความขอบคุณผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 5 ที่สามารถติดตามจับกุมตัวผู้ต้องหาได้ภายในเวลารวดเร็ว

ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 5 เปิดเผยว่า เบื้องต้นผู้ต้องหาทั้ง 2 รายยังคงให้การปฏิเสธ อ้างว่าไม่มีส่วนรู้เห็นเกี่ยวกับการกระทำผิดดังกล่าว อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่ตำรวจมีหลักฐานค่อนข้างแน่นหนา เตรียมนำตัวส่งฝากขังที่ศาลพร้อมคัดค้านการประกันตัวเนื่องจากผู้ต้องหามีพฤติการณ์หลบหนี ส่วนการติดตามทรัพย์สินที่ได้จากการกระทำความผิดนั้น เบื้องต้นยังติดตามไม่พบทรัพย์สินใดๆ ซึ่งเชื่อว่าผู้ต้องหาน่าจะทำการซุกซ่อนอำพราง หรือยักย้ายถ่ายเทไปไว้กับผู้อื่นหรือที่ใดที่หนึ่ง ซึ่งจะมีการประสานกับ ปปง.ให้ดำเนินการตรวจสอบเส้นทางการเงินต่อไป นอกจากนี้ พนักงานสอบสวนเตรียมรวบรวมพยานหลักฐานเพิ่มเติมเพื่อดำเนินคดีต่อพนักงานขาย หรือเซลส์ของโครงการด้วย


สำหรับการจับกุมครั้งนี้สืบเนื่องจากการที่มีประชาชนผู้เสียหายจำนวนหลายรายได้เข้าร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนให้สอบสวนดำเนินคดีต่อนางสาวพิชามญชุ์ และนายคณิศร คู่สามีภรรยา ที่ร่วมกันกับพวกได้ใช้สื่อโซเชียลโพสต์ขายที่ดิน จองถูก ดาวน์ต่ำ ผ่อนนาน จนเป็นที่สนใจของสาธารณชน มีผู้หลงเชื่อเข้าจองจำนวนมาก และผ่อนชำระรายเดือนไปจนเกือบตลอดสัญญา แต่ต่อมาทราบความจริงว่าไม่สามารถทำการซื้อขายหรือโอนกรรมสิทธิ์ได้จริง โดยมีข้อเท็จจริงหรือพฤติการณ์ของกลุ่มผู้ต้องหาว่า ได้ร่วมกันติดต่อหาซื้อที่ดินหลายแปลงรวมเป็นขนาดใหญ่หลายที่ ในพื้นที่ อ.สารภี, อ.สันกำแพง และ อ.แม่ริม แล้วประกาศโฆษณาโดยการติดป้ายประกาศ ณ แปลงที่ดิน และตามสื่อโซเชียล เฟซบุ๊ก เพจขายอสังหาริมทรัพย์ แก่สาธารณชน ว่าได้ทำโครงการบ้านจัดสรรและแบ่งขายที่ดิน โดยให้ผู้ที่สนใจต้องการซื้อที่ดินเข้ามาติดต่อทำสัญญาจะซื้อจะขาย โดยมีพนักงานเสนอขายหรือเซลส์แมนในเครือข่ายโครงการฯ จำนวนหลายคนที่คอยดำเนินการหรือประสานติดต่อกับผู้เสียหายในการจอง ผ่อนชำระ หรือซื้อขาย

โดยมีข้อกำหนดว่าแต่ละแปลงมีค่าจอง 5,000 บาท, ให้วางดาวน์ 30% ผ่อนจ่ายได้ 36 งวด แต่ละโครงการจะแบ่งที่ดินเป็นแปลงย่อย เนื้อที่ประมาณ 50-100 ตร.ว. โดยในส่วนของจังหวัดเชียงใหม่ มีคดีเกิดขึ้นตั้งแต่ต้นปี 2563 และทราบว่ามีการกระทำผิดดังกล่าวเมื่อต้นปี 2566 และผู้เสียหายได้ร้องทุกข์ไว้แล้ว 3 ท้องที่ คือ 1. ท้องที่ สภ.สารภี จำนวน 6 โครงการ ค่าเสียหายประมาณ 23,601,992 บาท (ผู้เสียหาย 95 ราย), 2. ท้องที่ สภ.สันกำแพง จำนวน 2 โครงการ ค่าเสียหายประมาณ 7,316,053 บาท (ผู้เสียหาย 32 ราย), 3. ท้องที่ สภ.แม่ริม จำนวน 2 โครงการ ค่าเสียหายประมาณ 11,181,939 บาท (ผู้เสียหาย 52 ราย) และในเขตพื้นที่ใกล้เคียงยังมีเหตุคดีจากผู้กระทำผิดกลุ่มนี้เกิดขึ้นท้องที่ อ.เมือง จ.ลำพูน อีกส่วนหนึ่ง


ในการสอบสวนดำเนินคดีดังกล่าว พนักงานสอบสวน สภ.สารภี, สภ.สันกำแพง และ สภ.แม่ริม โดยการอำนวยการและเร่งรัดของผู้บังคับบัญชา ให้พนักงานสอบสวนรวบรวมพยานหลักฐานจนนำสู่การขออนุมัติศาลออกหมายจับนางพิชามญชุ์ และนายคณิศร ตัวการสำคัญในทุกคดีที่รับคำร้องทุกข์ไว้ รวมจำนวน 10 คดี/หมายจับดังกล่าวข้างต้น แล้วเจ้าพนักงานตำรวจที่เกี่ยวข้องก็ได้ร่วมกันสืบสวนติดตามตัวและทราบว่าบุคคลทั้งสองได้หลบหนีออกนอกพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่ไปแล้ว และจากการสืบสวนติดตามตัวอย่างต่อเนื่อง กระทั่งก่อนการจับกุมนี้ชุดสืบสวนได้ข้อมูลเบาะแสว่าผู้ต้องหาทั้งสองหลบหนีไปอยู่ในพื้นที่จังหวัดนครราชสีมา จึงได้จัดกำลังออกสืบสวนเพื่อติดตามตัว โดยบูรณาการสืบสวนร่วมกับเจ้าพนักงานตำรวจในพื้นที่ จนนำสู่การสืบสวนติดตามจนพบตัวและจับกุมตัวผู้ต้องหาได้ในที่สุด โดยการดำเนินการต่อจากนี้จะได้ทำการสืบสวนสอบสวนขยายผลหาความเกี่ยวข้องเชื่อมโยงว่ายังมีนิติบุคคลหรือบุคคลอื่นเข้ามีส่วนร่วมกระทำผิดกับผู้ต้องหาทั้งสองหรือไม่ เพื่อดำเนินคดีไปพร้อมกัน












กำลังโหลดความคิดเห็น